มหัศจรรย์แห่งสมอง

เพิ่มเพื่อน

การทำให้สมอง 2 ซีก ทำงานอย่างสมดุลกัน

         ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น   การใช้สมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว    หน้าที่การงานในอนาคต  ต้องการความคิด และการลงมือทำอย่างสร้างสรรค์  เหมือนมีญาณหยั่งรู้     คนที่จะประสบความสำเร็จ ต้องสามารถเรียนรู้วิธีที่จะรวบรวมความสามารถของสมอง 2 ซีกให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ร่วมกัน

         สมองแต่ละซีกของเราได้ถูกออกแบบมาสำหรับหน้าที่และความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน    นั่นคือสมองจะหลีกเลี่ยงการทำหน้าที่ที่ซ้ำกัน     สมองทั้ง 2 ซีกต่างก็ทำงานร่วมกันเสมอ  ทุกอย่างที่เราทำ  ล้วนเกิดจากการทำงานของสมองทั้ง 2 ซีก      อย่างไรก็ตาม  มันมีแนวโน้มที่สมองซีกใดซีกหนึ่งจะทำงานโดดเด่นกว่า    ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตอบสนองของเราต่อประสบการณ์ และสถานการณ์ใหม่ๆ      ปัจจุบัน  เรามีความรู้ว่าเราใช้สมองของเราอย่างไร   ดังนั้น  เราควรจะมาเรียนรู้กันว่า  วิธีไหนที่จะทำให้เราใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

         หากคุณโตมากับระบบโรงเรียนรัฐบาล  เหมือนกับพวกเราส่วนใหญ่   แน่นอนว่าโอกาสสูงที่สมองซีกซ้ายจะได้ใช้งานมากกว่าสมองซีกขวาที่โดดเด่นในเรื่องความคิดสร้างสรรค์      เพราะระบบโรงเรียนของรัฐ  สอนนักเรียนให้จบออกมาเพื่อให้มีงานทำ    เด็กๆถูกสอนให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่ง  และทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นประจำ      เด็กๆไม่ได้ถูกสอนให้มีความคิดเป็นของตนเอง

"IQ กับ Intelligence (สติปัญญา): อันไหนสำคัญกว่ากัน       

 

มี 3 เหตุผลหลัก  ที่กล่าวได้ว่า สติปัญญาโดยรวมของคุณสำคัญมากกว่า ไอคิว

  1. ถึงแม้ว่าจะพบความสัมพันธ์ระหว่าง ไอคิวสูง กับความประสบความสำเร็จในการเรียน และหน้าที่การงาน   แต่มันก็มีปัจจัยอื่น ซึ่งดูจะสำคัญมากกว่าเสียอีก  อย่างเช่น   การมีแรงบันดาลใจ, วิธีคิด (mindset), ความคิดสร้างสรรค์, ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence), ทัศนคติ, ความขยัน, common sense, และความมีวินัยในตนเอง
  2. ถึงแม้ว่าคุณจะมีวิธีที่จะเพิ่ม IQ ของคุณก็ตาม  แต่ IQ มักจะคงที่ไปตลอดชีวิต    ในขณะที่สติปัญญา และความจำของคุณ  สามารถทำให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมาก และรวดเร็ว และ
  3. การมี IQ สูง  ไม่ได้การันตีความสำเร็จ

         "มันไม่แปลกที่จะพบคน  IQ สูง  แต่ล้มเหลวในชีวิต   ในขณะที่คน  IQ ปานกลาง  ประสบความสำเร็จ" Deane Alban

 

 

"สติปัญญา (intelligence) มี 2 ชนิด : crystallized intelligence และ fluid intelligence.

         Crystallized intelligence  คือ ความสามารถในการใช้ข้อมูล, ความชำนาญ และประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้มาแล้ว   โดยนำข้อมูลที่มีอยู่ในสมองมาปรับใช้    พูดง่ายๆคือ  ความรู้ที่อยู่ในสมอง    สติปัญญาชนิดนี้  มักจะเพิ่มขึ้นตามอายุ และมักถูกให้ความสำคัญมากในวัฒนธรรมตะวันตก (เนื่องจากมันสามารถทดสอบได้ผ่านทางบททดสอบมาตรฐาน)

         Fluid intelligence  ในทางตรงกันข้าม  คือ ความสามารถในการคิดนอกกรอบ การแก้ปัญหา คิดอย่างมีเหตุผลในสถานการณ์ใหม่ๆ การประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ   สามารถแก้ปัญหาได้แม้ว่าจะมีพื้นฐานข้อมูลของสิ่งนั้นเล็กน้อย หรือ ไม่มีเลย    เป็นสติปัญญาที่ขึ้นกับความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ และการมองการณ์ไกล

         การเพิ่มสติปัญญาชนิด crystallized   ทำได้ง่าย เช่น การอ่านหนังสือ, ฟัง podcasts, การเรียน   แต่ fluid intelligence ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น    มันไม่เกี่ยวกับความจริง หรือตัวเลข    มันเกี่ยวกับความสามารถของคุณในการทำอะไรกับสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

"หากคุณเอาแต่คิดในสิ่งที่คุณเคยคิด และทำในสิ่งที่คุณเคยทำงั้นคุณก็คงจะได้แค่ในสิ่งที่คุณเคยได้

If you think what you always think, and do what you always do, then you'll get what you always get..."

Tesla

Image result for corpus callosum

         Corpus callosum เป็นมัดของเส้นใยประสาทที่เชื่อมสมอง 2 ซีกเข้าด้วยกัน      ในคนที่ถนัดทั้งมือขวาและมือซ้าย  มัดของเส้นใยประสาทนี้จะหนากว่าคนทั่วไป      และจากการศึกษาวิจัยพบว่า  คนที่ถนัดทั้งมือขวาและมือซ้ายเท่าๆกันนั้น  เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการอ่านคน, มองเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกทั้งสองด้าน และจดจำรายละเอียดและเนื่อหาของเรื่องราวได้ดี    เป็นคนที่มีการใช้งานสมองทั้ง 2 ซีกอย่างสมดุล  ทำให้เป็นคนที่มีความคิดดีกว่าคนทั่วไป

         "โดยการฝึกสมองทั้ง 2 ด้าน    สังคมควรตั้งหน้าตั้งตาคอยประชากรที่มีความสามารถยอดเยี่ยม  ถนัดทั้งมือซ้ายมือขวา  และใช้สมองทั้งซีกซ้ายซีกขวา     ซึ่งมีศักยภาพทางด้านสุขภาพ, สติปัญญา, หัตถกรรม, การกีฬา, การเรียน, การอุตสาหกรรม และการทหาร...      หากจำเป็นต้องทำ   มือหนึ่งอาจกำลังเขียนจดหมาย  ในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังเล่นเปียโน  โดยที่สมาธิไม่ลดลงเลยก็เป็นได้"

John Jackson

 

         โดยทั่วไป  สมองซีกซ้ายและซีกขวา  จะประมวลผลข้อมูลด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน      คนเรามักจะประมวลผลข้อมูลโดยใช้สมองซีกที่ทำงานโดดเด่นกว่า     แต่อย่างไรก็ตาม  กระบวนการเรียนรู้และความคิด  จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อสมองทั้ง 2 ซีกทำงานร่วมกันอย่างสมดุล    ซึ่งก็คือ  การฝึกสมองซีกที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน  ให้ทำงานมากขึ้น      

Image result for right or left brain hemisphere

 

         สมองซีกซ้าย  จะประมวลผลข้อมูลในแนวราบ  โดยประมวลผลจากส่วนเล็กๆ  ไปจนครบทุกส่วน     ค่อยๆประกอบชิ้นส่วนทีละชิ้น  จัดเรียงกันในรูปแบบที่เป็นระเบียบ  ตามหลักเหตุผล  แล้วทำการสรุปผล

         สมองซีกขวา  จะประมวลผลจากภาพรวม  มาหาส่วนย่อย   ด้วยวิธีดูองค์รวม    โดยเริ่มจากคำตอบ   โดยมองภาพรวมก่อน  ไม่ใช่รายละเอียด      หากคุณเป็นคนใช้สมองซีกขวา  คุณอาจจะเรียนหนังสือไม่ค่อยเข้าใจ  หากไม่ได้รับการบอกถึงภาพรวมก่อน 

สมองซีกขวา

สมองซีกซ้าย

•คิดเป็นภาพ, เน้นข้อมูลที่เป็นรูปภาพ และรูปแบบ

•คิดเป็นคำพูด, เน้นข้อมูลที่เป็นคำพูด  ภาษา  สัญลักษณ์  ตัวเลข

•ทำตามสัญชาติญาณ หรือความหยั่งรู้ที่นำโดยอารมณ์

•วิเคราะห์  ตามหลักตรรกกะ เหตุผล

•ประมวลผลข้อมูลพร้อมๆกัน

•ประมวลผลข้อมูลทีละขั้นตอน  ตามลำดับ

•'ใช้การคิดเป็นภาพ' เพื่อจดจำสิ่งของ, การจดโน้ต หรือการวาดภาพช่วยให้คุณจำได้

•ใช้คำพูดหรือภาษาในการจดจำสิ่งต่างๆ, จำชื่อคนได้ดีกว่าจำหน้า

•ใช้การเชื่อมโยงในการหาคำตอบจากข้อมูล

•ใช้การตัดออก  ในการหาคำตอบจากข้อมูล

•มองภาพรวมก่อน แล้วค่อยดูรายละเอียด

•เริ่มจากจุดเริ่มต้นทีละขั้นตอน  จนไปสู่ผลลัพธ์  โดยเน้นที่รายละเอียด  ข้อมูลต้องเป็นระเบียบ

•ขาดการจัดการอย่างเป็นระเบียบ

•เป็นระเบียบอย่างมาก

•อิสระทางความคิด

•ชอบลิสต์รายการ และวางแผน

•ชอบคิดหาเหตุผลว่า  ทำไมต้องทำสิ่งนี้ๆ  หรือทำไมต้องมีกฏอย่างนี้ๆ

•มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามกฏโดยที่ไม่ข้องใจสงสัย

•ไม่สนใจเรื่องเวลา

•เก่งในเรื่องการจัดการควบคุมเวลา

•อาจมีปัญหาเรื่องการสะกดคำ และหาคำพูดที่จะพูด

•การสะกดคำ และสูตรทางคณิตศาสตร์  จำได้อย่างง่ายดาย

•ชอบหยิบจับ  สัมผัสสิ่งของ (ชอบให้มีสิ่งเร้า)

•ชอบสังเกตุการณ์อยู่เฉยๆ

•มีปัญหาเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ  เลยมักจะมาสายเวลานัด   เป็นคนบุ่มบ่าม

•แพลนล่วงหน้าเสมอ

•มักไม่ค่อยอ่านคู่มือการใช้งาน  เวลาลองสิ่งของ

•มักอ่านคู่มือการใช้งานก่อน  เวลาลองสิ่งของ

•มักฟังว่า  คนพูดถึงสิ่งๆนั้นอย่างไร

•มักฟังว่า  คนพูดถึงสิ่งๆนั้นว่า อะไร

•ออกมือออกไม้  แสดงท่าทางในการพูด

•ไม่ค่อยแสดงท่าทางในการพูด

•มักจะคิดว่าตนเองเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์   แต่จำเป็นจะต้องเอาตัวเองมาเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาศักยภาพของตน

•มักเชื่อว่าตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์  จึงต้องพยายามมากขึ้น และต้อมพร้อมรับความเสี่ยงเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง

         ความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาทต่างๆ  รวมทั้งออติซึม (autism), โรคสมาธิสั้น (attention-deficit hyperactivity disorder - ADHD), ภาวะบกพร่องในการเรียนรู้ (dyslexia) และความจำบกพร่อง (cognitive impairments)  ต่างกำลังเกิดขึ้นกับเด็กทั่วโลก  และบางโรคก็พบบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

         สารเคมีต่างๆที่เกิดจากอุตสาหกรรม  มีผลทำลายสมองที่กำลังพัฒนาในเด็ก  เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราทราบกันดีว่าเป็นตัวการที่ทำให้อัตราการเกิดโรคเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น (แหล่งที่มา)     เมื่อเดือนมิถุนายน 2018   มีการศึกษาวิจัยทั้งหมด  60  การวิจัย ที่พบความสัมพันธ์ระหว่าง ฟลูออไรด์ (fluoride) และสติปัญญามนุษย์ที่ลดลง ดูเพิ่มเติม)

 

         ในปี 1973 Banquet ได้แนะนำว่า  ในระหว่างการทำสมาธิ   สมองทั้ง 2 ซีกดูเหมือนจะมีการทำงานที่เท่าเทียมกัน      การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองนี้  (จากสมองซีกซ้ายทำงานมาก  ไปสู่การทำงานของสมองทั้ง 2 ส่วน)   อาจมีผลดีต่อสุขภาพ   เพิ่มการทำงานประสานกันระหว่างร่างกาย และจิตใจ  และส่งผลให้สุขภาพกาย และสุขภาพจิตโดยรวมดีขึ้น

         เนื่องจากกิจกรรมของสมองในด้านความจำลดลง  ในขณะที่มีการทำงานของสมองทั้งสองส่วนโดยสมดุลกัน    จึงเชื่อว่า  ความคิดลบ, ความคิดติเตียนตัวเอง และความวิตกกังวล    มีแนวโน้มที่จะลดลง   (Carrington, 1977; Sadigh,1991; Schwartz, Davidson, & Goleman, 1978.)

 

 

 

สารสกัดไวทาลีนและอวัยวะเดี่ยว

  • THYMUM (ไทมัม) สารสกัดจากปอดวัว 75 เม็ด
    3,750.00 ฿
  • PITUPATHIE (พิทูปาตี) 75 เม็ด
    6,750.00 ฿
  • PANCREAPATHIE (สารสกัดจากตับอ่อนวัว) 75 เม็ด
    2,850.00 ฿
  • EPIPATHIE (อีพิปาตี) สารสกัดจากสมองวัว 75 เม็ด
    6,750.00 ฿