Energy/Vibrational Medicine
พลังงานบำบัด/ เวชศาสตร์การสั่นสะเทือนคืออะไร?
เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้สนามพลังงานในการรักษา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานที่ออกจากมือของนักบำบัด, จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เลเซอร์, เสียงของมนุษย์ หรือเครื่องดนตรี หรือจากโฮมิโอพาธีย์, อโรมาเธอราพี, สมุนไพร หรือการเตรียมการประเภทอื่น ๆ ในระดับพื้นฐานแล้ว แทบจะทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับระบบสิ่งมีชีวิต จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์การสั่นสะเทือน ระบบควบคุมที่สำคัญในร่างกาย เกี่ยวข้องกับการปล่อยและการดูดซับแม่เหล็กไฟฟ้าระดับโมเลกุลต่างๆ ในเซลล์และเนื้อเยื่อจำนวนมาก โมเลกุลจะถูกจัดเรียงในลักษณะคล้ายคริสตัล ด้วยเหตุนี้เอง การสั่นของโมเลกุลจึงมีการจัดระเบียบและสอดคล้องกัน การสั่นของโมเลกุลจะถูกดูดซับโดยเมทริกซ์ที่มีชีวิต (เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน, เซลล์โครงร่าง และเมทริกซ์นิวเคลียร์) และส่งต่อไปทั่วร่างกาย การออกกำลังกาย และการบำบัด, การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ มีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับพลังงานนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การสั่นของโมเลกุลที่สอดคล้องกัน ก่อให้เกิดคุณสมบัติโดยรวม เช่น ความไวต่อสนามพลังงานในสิ่งแวดล้อม และการแผ่พลังงานจากร่างกายสู่สิ่งแวดล้อม
มุมมองในอนาคตสำหรับเวชศาสตร์ฟื้นฟู: การทำความเข้าใจแนวคิดของการแพทย์แบบสั่นสะเทือน
Regenerative Medicine (เวชศาสตร์ฟื้นฟู) ได้มาถึงพรมแดนใหม่ และการทำความเข้าใจแนวคิดของการแพทย์พลังงานและวิทยาศาสตร์การสั่นสะเทือน ที่เกี่ยวข้องกับสรีรวิทยาของร่างกาย สามารถช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการของเซลล์ที่ควบคุมการรักษา และอาจปลดล็อกช่องทางใหม่ ๆ ในวิศวกรรมเนื้อเยื่อ เวชศาสตร์การสั่นสะเทือนเป็นมิติใหม่ของการขยายตัวของเวชศาสตร์ฟื้นฟู
ในด้านการขยายตัวของเวชศาสตร์ฟื้นฟู แนวทางใหม่ของการวิจัยในสาขาเวชศาสตร์พลังงานและวิทยาศาสตร์การสั่นสะเทือน สามารถปลดล็อกความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกลไกการรักษาร่างกายและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ที่สามารถนำไปใช้กับการรักษาแบบใหม่
ในสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นไปที่ การจำลองกลไกธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายให้สมบูรณ์แบบ โฟกัสอยู่ที่การพัฒนาเทคนิคที่สามารถเลียนแบบการรักษาของระบบควบคุมอัตโนมัติที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ, การแบ่งเซลล์, การเจริญเติบโตของเซลล์ และสภาวะสมดุลในเนื้อเยื่อ เรามีหนทางใหม่ในการทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย, ส่งเซลล์ต้นกำเนิดไปในบริเวณที่เสื่อมสภาพ, ช่วยรักษาบาดแผลที่ผิวหนัง และลดริ้วรอยแห่งวัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พื้นฐานของการสร้างความสมบูรณ์แบบใน regenerative techniques นั้น มาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสรีรวิทยาพื้นฐานของร่างกายมนุษย์ และบางทีอาจจะต้องพิจารณาสิ่งที่นอกเหนือความเข้าใจในปัจจุบัน เกี่ยวกับสรีรวิทยาพื้นฐานของเรา ทฤษฎีทั้งหมดทำให้เราตั้งคำถามว่า เซลล์ๆเดียวนั้น ตั้งโปรแกรมให้ตัวเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหรือเป็น "ต้นกำเนิด" ได้อย่างไร เราจะเข้าใกล้จุดกำเนิดนั้นได้แค่ไหน หรือ ‘พลัง’ ตามที่ตำราโบราณส่วนใหญ่กล่าวถึงพลังงาน ที่เป็นพลังชีวิตที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการทั้งหมดในร่างกาย
สิ่งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีแง่มุมที่น่าสนใจ ในการย้อนกลับไปทำความเข้าใจว่า 'พลังชีวิต (life force)' ที่น่าสนใจนี้ สามารถควบคุมได้อย่างไร และอาจนำไปใช้กับสาขา regenerative medicine
แนวคิดของพลังงานไบโอฟิลด์: พลังงานเชิงกลและพลังงานที่ละเอียดอ่อนในวิวัฒนาการของเวชศาสตร์การสั่นสะเทือน
วิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ของ "Biofield" มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมระบบสิ่งมีชีวิตแบบ homodynamic จากการตรวจสอบลึกลงไปในสาขานี้ ทำให้เราได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับรากฐานของชีววิทยา และสรีรวิทยาของร่างกาย เช่นเดียวกับแนวคิดของการแพทย์เชิงพลังงาน
ความคิดทางการแพทย์แบบ Newtonian มองว่าพฤติกรรมทางสรีรวิทยาและจิตใจของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์โครงสร้างของสมองและร่างกาย อย่างไรก็ตาม มุมมองทางกลศาสตร์แบบ Newtonian เกี่ยวกับชีวิต เป็นเพียงการประมาณความเป็นจริงเท่านั้น ในเครื่องจักร ฟังก์ชันของทั้งหมดสามารถทำนายได้จากผลรวมของชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่ผลรวมของส่วนประกอบแต่ละส่วน มีแรงที่ "เคลื่อนไหว" อยู่ เมื่อแรงนั้นออกจากร่างกาย เช่น หลังความตาย อวัยวะต่างๆของร่างกายจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ มุมมองที่ทันสมัยและล่าสุดเกี่ยวกับพลังชีวิต ได้เกี่ยวข้องกับการมองว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการสั่นสะเทือน ตามกระบวนทัศน์ของไอน์สไตน์ แนวคิดนี้มองว่ามนุษย์ เป็นเครือข่ายของสนามพลังงานที่ซับซ้อน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบทางกายภาพและระบบเซลล์ เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน ใช้พลังงานรูปแบบพิเศษเพื่อส่งผลในเชิงบวกต่อระบบที่มีพลังเหล่านั้น ซึ่งอาจไม่สมดุลเนื่องจากสภาวะที่เป็นโรค
พลังงานที่ละเอียดอ่อน (subtle energies) เป็นรากฐานของการพิจารณากายละเอียด (etheric or astral body - เป็นเส้นพลังงานที่เชื่อมต่ออยู่ทั่วกายเนื้อ เป็นสนามพลังที่สำคัญ และมีจุดตัดของเส้นพลังงาน ซึ่งถูกใช้เป็นจุดฝังเข็มและตำแหน่งจักระในการฝึกโยคะ) ไม่ใช่แค่แผนที่กายวิภาค / สรีรวิทยาของสิ่งที่เราพิจารณาในการแพทย์แผนปัจจุบัน ethereal bodies ประกอบด้วยแผนที่และเส้นเมริเดียนของการไหลของพลังงานและจุดจักระ เส้นพลังงานที่สามารถแมปได้เรียกว่า Nadis ในอายุรเวท และเส้นพลังงาน Qi ในการฝังเข็ม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การรักษาหลายรูปแบบได้พิจารณาถึงการควบคุมพลังงานที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ เช่น โฮมิโอพาธีย์, เรกิ, การนวดกดจุด, โยคะบำบัด, การฝังเข็ม และอายุรเวท สิ่งเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนในปัจจุบัน และมีผู้คนติดตามมากมายที่เชื่อในวิธีการรักษาเหล่านี้
จากการแพทย์สมัยโบราณไปจนถึงวิวัฒนาการของการแพทย์แบบสั่นสะเทือน
การแพทย์โบราณที่เป็นที่นิยมต่างๆ ได้ใช้แผนที่ ethereal bodies เพื่อทำความเข้าใจการไหลเวียนของพลังงานภายในร่างกาย
ในความเชื่อของชาวจีน พลังชีวิตคือพลัง Qi (ลมปราณ) หรือที่เรียกว่า ‘หยาง’ ซึ่งผสมกับเลือดหรือ ‘พลังหยิน’ และสร้างความสมดุลให้กับชีวิต ตามความเชื่อนี้ ความไม่สมดุลของหยินและหยางทำให้เกิดกระบวนการของโรค Qi เดินทางไปทั่วร่างกายตาม "เส้นเมอริเดียน" หรือเส้นทางพิเศษ การฝังเข็ม ขึ้นอยู่กับความเชื่อของการสอดเข็มไปตามจุดพลังงานบางอย่าง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงและปรับสมดุลของพลังงาน Qi ให้มีการไหลที่เหมาะสม มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งรายงานว่า ระดับ endomorphin-1, β endorphin, encephalin และ serotonin เพิ่มขึ้นในพลาสมาและเนื้อเยื่อสมอง ผ่านการฝังเข็ม ซึ่งส่งผลให้ระงับอาการปวด, sedation (สภาพร่างกายและจิตใจที่ปราศจากความกังวล ความเจ็บปวด ผู้ป่วยจะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่คิดมาก) และการฟื้นตัวของการทำงานของระบบประสาทมอเตอร์
อายุรเวทมีต้นกำเนิดในอินเดีย เป็นหนึ่งในประเพณีสุขภาพที่เก่าแก่ แต่ยังใช้กันอยู่ ชีวิต ในอายุรเวท เกิดจากการรวมกันของร่างกาย, ความรู้สึก (senses), จิตใจ (mind) และจิตวิญญาณ (spirit) อายุรเวทขึ้นอยู่กับ การมองร่างกายเป็นธาตุ 5 อย่าง ที่ประกอบเป็นโครงสร้างส่วนประกอบของวัตถุ ซึ่งพลังปรานา (ลมปราณ) ไหลผ่าน ‘นาดีส’ และทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว ธาตุทั้ง 5 ได้แก่ น้ำ, ดิน, ไฟ, อีเธอร์ และลม ร่างกายได้รับการประเมินบนพื้นฐานของ Doshas (โทษะ); นั่นคือแสดงเป็น Prakriti (ประกฤติ : ฟีโนไทป์) ซึ่งหมายถึงประเภทของร่างกายหรือลักษณะของแต่ละบุคคลโดยรวม การศึกษาทางคลินิกชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อย่างมาก ระหว่าง HLA alleles กับประเภท Prakriti ทางอายุรเวท ต่อมามีการตั้งสมมติฐานว่า Prakritis ที่แตกต่างกัน อาจมีอัตราการเผาผลาญของยาที่แตกต่างกัน ซึ่งบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างสรีรวิทยา และพยาธิสรีรวิทยา
การฝึกโยคะ กล่าวกันว่าเป็นการใช้พลังลมปราณ (Prana) เพื่อทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ ควบคู่ไปกับท่าทางบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การทดลองทางคลินิกหลายครั้งโดยอาศัยการประเมินการเปลี่ยนแปลงของเครื่องหมายการอักเสบ (inflammatory markers) ในร่างกาย ที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตแบบโยคะ แสดงให้เห็นว่า สุขภาพโดยรวมดีขึ้น และพบการฟื้นตัวจากปัญหามะเร็ง และสุขภาพจิต งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจน ระหว่างการปฏิบัติเหล่านี้กับสุขภาพ และด้วยเหตุนี้จึงชี้ให้เห็นว่า อาจมีการขยายขอบเขตการใช้ เพื่อปรับปรุงด้านอื่น ๆ ของการแพทย์ เช่น regenerative anti-aging
Evidence-based literature (งานวิจัยเชิงประจักษ์) ซึ่งพิจารณาถึงพลังงานที่ละเอียดอ่อน (subtle energies), การเชื่อมต่อระหว่างจิตใจกับร่างกาย และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic fields)
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อจากนิวยอร์ก ในงานวิจัยของเขารายงานว่า มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่รอบ ๆ เนื้อเยื่อที่กำลังรักษาตัวเอง ผลงานต้นฉบับของ Becker สังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘กระแสแห่งการบาดเจ็บ (current of injury)’ นี่คือศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้จากสิ่งที่ถูกตัดออกในสัตว์ เมื่อผ่าตัดเอาแขนขาออกจากสัตว์ในห้องปฏิบัติการ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบไฟฟ้าที่สิ่งที่ถูกตัดออกมา สามารถวัดได้หลายวันในระหว่างกระบวนการรักษาและซ่อมแซม เมื่อเร็ว ๆ นี้บทความโดย Hunckler et al. กล่าวถึงวิธีที่การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าของบาดแผล แสดงให้เห็นว่าเป็นการรักษาที่มีแนวโน้มในการเร่งการรักษาบาดแผล ในทำนองเดียวกันความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ clock mechanisms ของเซลล์ต้นกำเนิดในผิวหนัง ตอบสนองต่อสัญญาณแวดล้อมในการเปลี่ยนแปลงของพลังงานแสง เป็นข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจเกี่ยวกับอิทธิพลพลังงานของเซลล์ ในด้านเครื่องสำอาง และการต่อต้านการเกิดริ้วรอยของผิวหนังด้วยการใช้อุปกรณ์เลเซอร์ยุคใหม่, ผลทางเชิงกล (PhotoMechanical effect) และผลจาก
การศึกษาล่าสุดได้รับการออกแบบมา เพื่อสำรวจผลกระทบของการแทรกแซงวิถีชีวิตแบบโยคะและการทำสมาธิ (Yoga and Meditation based lifestyle intervention - YMLI) ต่อการเสื่อมของเซลล์ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ในการศึกษา 12 สัปดาห์ มีผู้มีสุขภาพดี 96 คนได้รับการลงทะเบียนเข้าทดลอง จุดสิ้นสุดหลักคือ การประเมินการเปลี่ยนแปลงระดับของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญของการเสื่อมสภาพของเซลล์ในเลือด จากค่าเริ่มต้นถึงสัปดาห์ที่ 12 ซึ่งรวมถึงตัวบ่งชี้ความเสียหายของดีเอ็นเอ 8-hydroxy-2′-deoxyguanosine (8-OH2dG), ตัวบ่งชี้ความเครียดออกซิเดชัน reactive oxygen species และความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระทั้งหมด และตัวบ่งชี้ telomere attrition ความยาวของเทโลเมียร์ และการทำงานของเทโลเมียร์ จุดสิ้นสุดรองคือ การประเมิน metabotrophic blood biomarkers ที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของเซลล์ ซึ่งรวมถึง cortisol,-endorphin, IL-6, BDNF และ sirtuin-1 หลังจาก 12 สัปดาห์ของ YMLI มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญทั้งใน cardinal biomarkers ของการเสื่อมสภาพของเซลล์และ metabotrophic biomarkers ที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของเซลล์ เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐาน ระดับเฉลี่ยของ 8-OH2dG, reactive oxygen species, คอร์ติซอล และ IL-6 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และระดับเฉลี่ยของความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระทั้งหมด, กิจกรรมของเทโลเมอเรส, β-endorphin, BDNF และ sirtuin-1 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ทุกค่า) หลัง YMLI ระดับเฉลี่ยของความยาวเทโลเมียร์เพิ่มขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญ YMLI ช่วยลดอัตราการแก่ชราของเซลล์ในประชากรที่มีสุขภาพดี อย่างเห็นได้ชัด
พลังแห่งการบำบัดของความคิด (The healing power of thought) เป็นแนวคิดที่ได้รับการพิจารณาจากการวิจัยทางคลินิกที่ทำเกี่ยวกับการทำสมาธิ การสังเกตล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ Hankey A ได้บันทึกว่า มี Sensory Acuity (ความคมในการรับรู้) ดีขึ้น รวมถึงการทำงานขั้นสูงของสมอง (cognitive functions) ซึ่งบ่งบอกถึงความคงที่ของแง่มุมของการรับรู้โดยตั้งใจ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ปฏิบัติสมาธิขั้นสูงแบบพุทธในทิเบตในพื้นที่ห่างไกลของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีผลลัพธ์ที่เป็นที่ยอมรับในระยะยาว จากโปรแกรมการฝึกจิต (Transcendental Meditation programs)
ในการศึกษาการเคลื่อนที่ (migration) ของเซลล์ต่างๆ traction เป็นหน่วยที่วัดได้ และการวัด traction ได้แสดงให้เห็นในเชิงปริมาณ สามารถวัด "แรง" ของทั้ง traction และ contractionได้ ผลกระทบของเสียง, ความร้อน และแสง ที่มีต่อเซลล์ ได้รับการศึกษา และจัดทำเป็นเอกสาร และมีการรายงานการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ หากแรงภายนอกมีผลกระทบต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และเราเชื่อในทฤษฎีของปฏิกิริยาที่เท่ากันและตรงกันข้าม จะมีแรงภายในที่ทำหน้าที่ลบล้างแรงภายนอก และความสมดุลของทั้งสองแรงอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความถี่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เฉพาะเจาะจงช่วยเพิ่มการเกาะติดของเซลล์สโตรมัลของไขกระดูกของมนุษย์ (hSSC / BMSC - human bone marrow stromal cell), proliferation (การเพิ่มจำนวน), differentiation (การพัฒนาการ) และ viability (ความอยู่รอด) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทสำคัญในการใช้ hSSCs / BMSCs สำหรับวิศวกรรมเนื้อเยื่อในการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน, กระดูก และกล้ามเนื้อขึ้นใหม่ มีรายงานมานานหลายทศวรรษแล้วว่าสนามพลังงาน สามารถมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพัฒนาการของเซลล์, การเคลื่อนที่, การยึดเกาะ และแม้แต่การรักษาบาดแผล การรวมกันของเทคนิคสนามไฟฟ้า, สนามแม่เหล็ก และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ได้เผยให้เห็นคำอธิบายใหม่และน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับวิธีที่เซลล์เคลื่อนที่และยึดติดกับพื้นผิว การโยกย้ายของเซลล์หลายเซลล์มีการประสานงานและควบคุมอย่างไร และวิธีที่เซลล์มีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ข้างเคียง และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมระดับจุลภาค (microenvironment)
มุมมองในอนาคต: เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน และการใช้ในเวชศาสตร์ฟื้นฟูในอนาคต
เราเพิ่งเริ่มเข้าใจเส้นทาง และอินเทอร์เฟซของเซลล์ที่ควบคุมชีวิตมาหลายพันปี สิ่งที่อยู่นอกเหนือแนวคิดของข้อเท็จจริงที่เป็นที่รู้จักคือ การค้นพบที่เป็นไปได้ของแรงที่มองไม่เห็นซึ่งควบคุมกระบวนการกำกับดูแลหลายอย่างในร่างกาย การเรียนรู้จากแนวคิดโบราณเกี่ยวกับพลังงานที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ ทำให้เกิดคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างชัดเจนสำหรับพฤติกรรมของเซลล์, การควบคุมอัตโนมัติ (autoregulation), ขบวนการรักษาของเนื้อเยื่อ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแรงที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของการวัดปริมาณ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใหม่ (regeneration) และการบำรุงรักษา
คำศัพท์ Cymatherapy ™ หมายถึง การใช้การกระตุ้นด้วยเสียง (ภายในช่วงที่ได้ยิน) ในระบบทางชีววิทยา ฮาร์มอนิกที่ใช้ในอุปกรณ์ AMI-Acoustic Meridian Intelligence ได้รับการพัฒนาตามความถี่เรโซแนนซ์ที่ตรงกับกฎฮาร์มอนิกตามธรรมชาติของชีวิตทางชีววิทยาและโลกของเรา
ร่างกายมนุษย์เป็นระบบทางชีววิทยาที่มีโครงสร้างซับซ้อน ประกอบด้วยเซลล์ที่ส่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพ, สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยความถี่และการสั่นสะเทือนของตัวเองอย่างต่อเนื่องในปฏิสัมพันธ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของการสื่อสารระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
เครื่องมือที่ใช้ใน Cymatherapy ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่แม่นยำ ซึ่งได้รับการวัดเพื่อให้ตรงกับเสียงสะท้อนของเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งเกิดขึ้นได้จากกระบวนการของการสั่น (แนวโน้มที่สิ่งที่สั่นสองตัวจะล็อคเข้ากับเฟสที่ทำให้พวกมันสั่นสะเทือนเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน) นอกจากนี้ ยังสามารถทำให้เกิดการซิงโครไนซ์ของวัฏจักรจังหวะของเซลล์และโครงสร้างของร่างกาย
เป้าหมายของ Cymatherapy คือ การใช้กฎทางชีววิทยาและความถี่ที่วัดได้ ซึ่งจะทำให้การสั่นพ้อง (resonance) ของเซลล์และระบบต่างๆของร่างกายกิดการซิงโครไนซ์ของโครงสร้างการสั่นเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด
Cymatherapy: คลื่นลูกใหม่ในเทคนิคเสียง
การบำบัดด้วยเสียงหลายชนิดได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นทุกวัน ตัวอย่างเช่นทุกอย่างตั้งแต่เครื่องดนตรีโบราณ เช่น Singing bowls และ Tibetan Singing Bowl ไปจนถึงดนตรีบำบัดล่าสุดที่มีเครื่องดนตรีสมัยใหม่ ล้วนกลายเป็นเครื่องมือสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะ
“Cymatherapy™” เป็นคำที่กำหนดโดยซีอีโอของ Cyma Technologies, Mandara Cromwell ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วว่าเป็นตัวเลือกเทคโนโลยีเสียงขั้นสูงสำหรับแพทย์และผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพ
“การค้นพบใหม่ด้วย Cymatherapy ทำให้เราเห็นว่า เสียงมีประสิทธิภาพในการบรรเทาความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของโรค หากเราสามารถช่วยประชากรของเราในการจัดการความเครียด เราก็จะสามารถหยุดการโจมตีและการลุกลามของโรคต่างๆ” Ms. Cromwell กล่าว
เสียง: จากรากฐานโบราณสู่การวิจัยสมัยใหม่
ตั้งแต่สมัยโบราณ เสียงถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการรักษาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ Pythagoras (นักปรัชญาชาวกรีก ในศตวรรษที่หกก่อนคริสต์กาล) ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ใช้ดนตรีเพื่อบำบัดร่างกายและอารมณ์ ความเชื่อที่ว่า เสียงสามารถสนับสนุนการรักษาได้ เป็นส่วนสำคัญของหลายวัฒนธรรม ตั้งแต่ mantra (มนตรา) practices ของชาวฮินดูโบราณ ไปจนถึงพิธีกรรมของหมอชาวจีน, หมอผีในอเมริกาใต้ และศาสตร์ลึกลับของลัทธิศูฟี (Sufi)
นักวิทยาศาสตร์และนักดนตรีชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 18 Ernst Chladni หรือที่ได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งเสียง” ได้แสดงให้เห็นว่า เสียงมีผลต่อสสาร เมื่อเขาดึงคันไวโอลินไปรอบ ๆ ขอบของจานที่ปูด้วยทรายละเอียด อนุภาคนั้นจะก่อตัวเป็นลวดลายเรขาคณิตที่ซับซ้อน
การถ่ายภาพรูปแบบเสียง
ในทศวรรษที่ 1960 การทดลองที่ซับซ้อนมากขึ้นซึ่งดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสวิส ดร. ฮันส์ เจนนี่ ได้สร้างรูปแบบที่ซับซ้อนสวยงามโดยการวางทราย, ของเหลว และผง ลงบนแผ่นโลหะ แล้วสั่นด้วยเครื่องกำเนิดความถี่พิเศษและลำโพงเสียง รูปแบบยังคงเหมือนเดิมตราบเท่าที่เสียงเต้นผ่านสาร แสดงให้เห็นว่า เสียงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้และความถี่ที่แตกต่างกันทำให้เกิดรูปแบบที่แตกต่างกัน
ดร. เจนนี่ เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า "cymatics" เพื่ออธิบายการศึกษาปรากฏการณ์คลื่น คำนี้มาจากภาษากรีกว่า "kyma" หมายถึง "เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคลื่น" ผลกระทบของการศึกษา cymatic ของเขามีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปใช้กับสาขาการรักษาและการแพทย์แบบสั่นสะเทือน (vibrational medicine)
การใช้การวิจัยเสียงเพื่อการรักษาแบบองค์รวม
ดร. เจนนี่ และดร. ปีเตอร์กาย แมนเนอร์ส ต่างก็เป็นผู้บุกเบิกที่นำการวิจัยและการฝึกฝนไซมาติกมาสู่การรักษาแบบองค์รวมด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม จากผลงานของพวกเขา Mandara Cromwell ได้สร้าง Cyma Technologies เพื่อพัฒนาและผลิตชุดเครื่องมือที่ไม่เหมือนใคร นั่นคืออุปกรณ์ AMI Acoustic Meridian Intelligence เพื่อรองรับความสามารถในการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย
การผสมผสานที่แม่นยำของความถี่ที่ได้รับการวิจัยอย่างสมบูรณ์ ถูกนำไปใช้โดยระบบนำส่งผ่านผิวหนัง (trans-dermally) โดยใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเสียงขั้นสูง ความไม่สมดุลในร่างกายได้รับการแก้ไข ทำให้เซลล์กลับสู่สภาพที่ดีตามธรรมชาติ เทคโนโลยีเสียงใหม่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แห่งอนาคตอย่างแน่นอน
ด้วยสมการอันโด่งดังของอัลเบิร์ตไอน์สไตน์ E = mc2 ทำให้เกิดความเข้าใจว่าสสาร (รวมถึงร่างกายมนุษย์) สร้างจากพลังงาน ข้อมูลนี้เป็นพื้นฐานสำหรับความคิดที่สร้างกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการรักษา ซึ่งในปัจจุบัน เรียกว่า "เวชศาสตร์พลังงาน หรือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย (energy or vibrational medicine)" ซึ่งมาจากความเข้าใจที่ว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยสนามพลังงานที่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบทางกายภาพและเซลล์ ในกระบวนการคิดนี้ การรบกวนในระบบพลังงานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลและเกิดโรคในที่สุด
การแพทย์แผนปัจจุบัน (conventional medicine) ตามทัศนะของนิวตัน (Newtonian viewpoint) มองว่าร่างกายเป็นระบบกลไกทางชีวภาพ แต่ละส่วนของร่างกายที่ควบคุมโดยสมอง และระบบประสาทแต่ละส่วน มีหน้าที่ของแต่ละส่วน อาการหรือความเจ็บป่วยรักษาได้โดยการรักษาส่วนของร่างกายที่แสดงออกถึงความผิดปกติ ด้วยยาและ / หรือการผ่าตัด
"เวชศาสตร์พลังงาน" เป็นการเปลี่ยนเส้นทางพลังงานเข้าร่างกาย และภายในร่างกาย ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไข และฟื้นฟูรูปแบบพลังงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ดีที่สุด
ตัวอย่างหนึ่งของวิธีการแพทย์พลังงานคือ Cymatherapy วิธีนี้ใช้ความถี่เพื่อให้ตรงกับเสียงสะท้อนของร่างกาย ไม่ได้รักษาตามอาการ แต่จะแก้ไขระบบพลังงานที่ละเอียดอ่อนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และการไหลเวียนของพลังงานภายใน
นี่เป็นการเปิดประตูให้พลังในการรักษาของร่างกายทำงาน ไม่เหมือนกับการบำบัดด้วยเสียงอื่น ๆ Cymatherapy กับอุปกรณ์ AMI Acoustic Meridian Intelligence จะควบคุมเสียงไปยังร่างกายผ่านผิวหนังที่เท้า จากการศึกษาระบบการแพทย์โบราณบางอย่างเช่น การแพทย์แผนจีน และอายุรเวท ทำให้เราทราบว่ามี "สายน้ำแห่งพลังงาน (rivers of energy)" ไหลผ่านร่างกาย Cymatherapy ทำงานไปตามวิถีทางเหล่านี้ นำสุขภาพและความมีชีวิตชีวาผ่าน “โภชนาการเสียง”
การใช้คุณสมบัติของคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย (vibrational medicine) นี้ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นว่าเป็นส่วนเสริมที่มีคุณค่าสำหรับการแพทย์แผนปัจจุบัน ปัจจุบัน การบำบัดแบบใหม่จำนวนมากนี้ถูกมองว่าเป็น “องค์รวม” เพราะการบำบัดเหล่านี้ยืนยันว่า การรักษาร่างกายนั้นจำเป็นต้องรวมถึงการดูส่วนอื่น ๆ ทั้งด้านอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณด้วย
สุขภาพ เป็นมากกว่าการไม่มีโรค แต่เป็นการวัด "ความสะดวกในการไหล (ease of flow)" ระหว่างระบบต่างๆของร่างกาย และความกลมกลืนของหลาย ๆ ด้านของมนุษย์และประสบการณ์