ผลิตภัณฑ์ชีวะโมเลกุล
มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แกและตายเป็นธรรมดา แต่กว่าจะตายหรือหมดอายุขัย บางทีเราต้องทนทุกข์ทรมานกับการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะนานนับเดือนนับปี เพราะอวัยวะต่างๆ เสื่อมไปอย่างไม่ย้อนคืน
เป็นเวลานานมาแล้ว ที่เราพยายามต่อสู้กับความแก่และความเจ็บป่วยแม้จะรู้ว่าในที่สุดต้องพ่ายแพ้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากจนเกินไปนัก
ร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากมาย เซลล์ต่างๆ มาประกอบกันเป็นอวัยวะ แล้วทำหน้าที่ต่างๆ กัน เมื่อคนอายุมากขึ้น เซลล์ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไป เซลล์เหล่านี้บางส่วนก็ตายไปบ้าง ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังไม่ตายแต่ไม่สามารถทำ งานได้ เมื่อมีเซลล์ที่เสื่อมและหยุดทำงานมากขึ้นก็ก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆ นอกจากความเสื่อมของเซลล์ตามปกติแล้ว สิ่งแวดล้อมในโลกปัจจุบัน เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ก็ล้วนเต็มไปด้วยสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เซลล์ของร่างกายเสียหายเพิ่มขึ้น
การแพทย์ชีวะโมเลกุล คืออะไร
การแพทย์ชีวโมเลกุล (Bio Molecular Therapy) คือ การซ่อมแซมเซลล์ด้วย Xenogenic Peptide
ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในส่วนที่เป็นน้ำของเซลล์ (Cytoplasm) กล่าวคือ การซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่เสื่อมสภาพได้โดยการใช้สาร
ชีวโมเลกุล ที่สกัดจากอวัยวะของสัตว์ นำมาซ่อมแซมอวัยวะเดียวกันกับของมนุษย์ เราเรียกทฤษฎีนี้ว่า “เซลล์ซ่อมเซลล์”
นับเป็น “ความหวังใหม่ของผู้ป่วยที่สิ้นหวัง” (New hope for the hopeless)
แนวคิดของวิชานี้เริ่มมาเมื่อประมาณ 500 ปีมาแล้ว จากนักวิทยาศาสตร์ ชื่อพาราเซลซัส (Paracelsus) ซึ่งเชื่อในหลักการว่า Life heals Life สิ่งที่เหมือนกันจะเข้าไปรักษากัน
Cell Therapy
เมื่อประมาณ ค.ศ.1931 ศาสตราจารย์ นพ.พอล นีฮาน (Dr.Paul Niehans) ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้นำแนวคิดของพาราเซลซัสมาใช้และค้นพบว่า เซลล์ที่เหมือนกันจะเดินทางไปรักษา ไปซ่อมเซลล์ที่อยู่ในอวัยวะเดียวกัน เช่น
เซลล์ของตับก็จะเดินทางไปรักษาตับ
เซลล์ของหัวใจก็จะเดินทางไปรักษาหัวใจ
แม้กระทั่งเซลล์เล็กๆ อย่างเช่นเซลล์ Optic Nerve ในกรณีคนที่เซลล์ Optic Nerve เสื่อม ตาใกล้จะบอด ก็จะเดินทางไปรักษา Optic Nerve รวมทั้งเซลล์สมองพวก Cerebrum, Cerebellum และ กลุ่มเส้นเลือดในสมองที่ควบคุมการสมดุลของน้ำในสมองกับตา สามารถรักษาได้ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Cell heals Cell
นพ.พอล นีฮาน
ในระยะเริ่มแรก นพ.นีฮาน ได้นำ เซลล์สดจากต่อมพาราไทรอยด์ จากสัตว์ที่ได้มาไม่เกิน 4 ชั่วโมง บดในน้ำเกลือ แล้วนำน้ำที่ได้ฉีดเข้ากล้ามให้ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง เนื่องจากถูกตัดต่อมพาราไทรอยด์ ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากโรคชักเกร็งได้ และ จากการติดตามผลใน 25 ปี ต่อมา ผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้ใดๆ
ในระยะแรกนักวิจารณ์หลายคนกล่าวหา นพ.นีฮาน ว่าเป็นแพทย์ที่หลอกลวง หนึ่งในผู้คัดค้านอย่างหนักแน่นและสำคัญ คือ นพ.ฮานส์ ชมิดท์ (Dr.Hans Schmidt) เป็นบิดาแห่ง ชีววิทยาภูมิคุ้มกัน (Immuno-biology) เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ นพ.ชมิดท์ ได้ศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยา Rejection ที่เกิดขึ้นเมื่อมีโปรตีนแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย สิ่งที่ นพ.นีฮาน ทำอยู่ นพ.ชมิดท์ ถือว่าเป็นอาชญากรรมเลยทีเดียว
นพ.ชมิดท์ตัดสินใจเดินทางไปเฝ้าดู นพ.นีฮาน ทำการเตรียมสารละลาย การฉีดยาให้ผู้ป่วย และ รอดูอาการผู้ป่วยที่ได้รับ Cell therapy ด้วยตนเอง ก่อน นพ.ชมิดท์ จะจาก นพ.นีฮาน เขาได้พูดว่า "คุณได้ทำลายงานค้นคว้าตลอดชีวิตของผม ด้วยการฉีดยาเพียงเข็มเดียว” นพ.นีฮาน ส่ายศีรษะและพูดว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน คุณพูดถูกต้องทุกอย่าง
โปรตีนเก่าจะทำตัวเหมือนสิ่งแปลกปลอมและเกิดการต่อต้านภายใน 8 นาที แต่ไม่ใช่ Protoplasm ที่ยังอ่อนอยู่ แทนที่จะต่อต้านกลับไปซ่อมแซมอวัยวะ”
การรักษาวิธีนี้ในช่วงแรกๆ จะใช้ในกลุ่มบุคคลชั้นสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง และไม่สะดวกเนื่องจากต้องไปนอนโรงพยาบาล 1 สัปดาห์ Live Cell Therapy มีชื่อเสียงมากเมื่อคราวที่พระสันตะปาปา Pius ที่ 12 ป่วยหนัก มีอาการไม่สบายมาก สะอึกตลอดวันตลอดคืน รับประทานอาหารไม่ได้ นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลียมาก แพทย์หลวงหมดทางรักษา และลงความเห็นว่าท่านจะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปอีกไม่นาน จึงเชิญนายแพทย์นีฮานไปรักษา นพ.นีฮาน
ตัดสินใจรับรักษาพระสันตะปาปาที่กรุงโรม ด้วยวิธี Live Cell Therapy ประมาณ 1 เดือน พระสันตะปาปา Pius ที่ 12
ก็กลับฟื้นขึ้นมาและมีสุขภาพแข็งแรงได้ราวปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นก็มีผู้มีชื่อเสียง เช่น เชอร์ชิล กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย จักรพรรด์ญี่ปุ่น ชาลีแชปปลิน มารับการรักษาด้วยวิธีนี้
การรักษาด้วย Cell Therapy ได้แพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปถึง 48 ประเทศ มีผลงานทางวิทยาศาสตร์ถึง 2,000 ชิ้น มีทั้ง Research จากโรงพยาบาล จากคลินิก ทำทั้ง double blind ตามขบวนการของ Conventional ทำทั้ง ในสัตว์ และ ในคนในโรงพยาบาลเวียนนา ในแพทย์ที่ดูแลผู้สูงอายุ 2 กลุ่ม จากนักวิทยาศาสตร์หลายแห่ง มีทั้งวิทยานิพนธ์และบทความลงพิมพ์ในหนังสือ International Literature
Biomolecular Therapy
ต่อมาการรักษาด้วย Live Cell Therapy นับว่ายุ่งยากมากและค่าใช้จ่ายสูง เพราะทุก cell ต้องผ่านการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานของ Transplantation ทุกประการ
ศาสตราจารย์ นพ.คาลล์ ทอยเรอร์ (Dr.Karl Theurer) ชาวเยอรมัน ได้พัฒนาการรักษาเป็น Cytoplasm Therapy โดยตั้งสมมุติฐานว่า ความสำเร็จของ Live Cell Therapy น่าจะเกิดจากสารชีวโมเลกุล (Biomolecule) ที่อยู่ภายใน Cytoplasm ของเซลล์ที่ยังคงลักษณะทางชีวภาพไว้ได้ (Bioavailability)
นพ.ทอยเรอร์ ค้นพบวิธี Acid-vapour-lysis ต่อ Lyophylized Organ Powder คือ การแยกสารชีวโมเลกุลภายในเซลล์ ด้วยการใช้กรด (ไม่ใช้น้ำ) ย่อยผนังเซลล์ภายใต้ความเย็นสูง แล้วแยกนิวเคลียสของเซลล์ออกไป สกัดเฉพาะ Cytoplasm เก็บภายใต้ภาวะสูญญากาศ ทำให้สามารถคงลักษณะชีวภาพไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ชีวโมเลกุลที่สกัดได้จากขบวนการดังกล่าว ยังทำให้เอกลักษณ์ของเซลล์ที่เรียกว่า HLA ซึ่งอยู่บนผนังเซลล์ถูกลบออกไป จึงไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ปราศจากการแพ้โดยสิ้นเชิง แต่ชีวโมเลกุลนั้นยังคงสภาพทางด้านความจำเพาะเจาะจงต่ออวัยวะได้อย่างครบ ถ้วน คือ Lyophylized ที่ได้จาก cell ของอวัยวะหนึ่ง จะไปรักษาอวัยวะนั้นๆอย่างจำเพาะเจาะจง หลังจากนั้นวิธีการดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตร ไม่สามารถทำเลียนแบบได้
วิธีการนี้ทำให้ค่ารักษาถูกลงไม่ต้องใช้เงินมาก คนธรรมดาก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ เมื่อปี ค.ศ.1950 รัฐบาลเยอรมันได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ทำจากชีวโมเลกุล จำนวน 100 ตำรับ และ ใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ทุกชนิดอย่างได้ผลมาจนถึงปัจจุบัน
"The principle of our organ therapy is comparable to the Lego building blocks, with which one can individually approach and heal the entire body."
Prof. Karl Eugen Theurer, MD
ต่อมาเมื่อประมาณ 25 ปี ที่ผ่านมานี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไซเฟิร์ด บล็อก (Dr.Siegfried Block) ได้ทำการทดลองโดยใช้ Cytoplasm 3 ชนิด คือ Liver, Myocardium และ Kidney ย้อมด้วยกัมมันตภาพรังสีแล้วฉีดเข้าไปในหนู หลังจากฉีด 8 ชั่วโมง ได้ติดตามเซลล์ที่ฉีดเข้าไป โดยการผ่าตัดทุก 2 ชั่วโมง พบว่า "เซลล์ที่เหมือนกันจะเดินทางไปซ่อมแซมเซลล์ชนิดเดียวกัน" คือ
Liver ไปยัง Liver,
Myocardium ไปยัง Myocardium,
Kidney ไปยัง Kidney
เมื่อผ่าเซลล์ออกมานับพบว่า จำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นหลังการฉีด
ในห้วงอายุของมนุษย์ โดยทั่วไปเซลล์ต่างๆจะแบ่งตัวชดเชยการสึกหรอประมาณ 50-60 ครั้ง จากการศึกษาพบว่า Biomolecular Therapy คือ ชีวโมเลกุล ช่วยเพิ่มการแบ่งตัวของ Human Cell มากเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิมอีกประมาณ 4 - 6 ครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าทำให้ช่วงอายุของคนเรายืนยาวขึ้นและแข็งแรงขึ้น
จากการทำงานของเซลล์ต่างๆมีหัวใจหลักคือการสร้างโปรตีน แล้วโปรตีนที่ได้ก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นน้ำย่อย เป็นฮอร์โมน เป็นเนื้อเยื่อ ฯลฯ
การสร้างโปรตีนในเซลล์จะคล้ายการปั๊มตรายาง เมื่อใช้ไปนานๆเข้า น้ำหมึกเริ่มแห้งตรายางเริ่มสึก คุณภาพของการปั๊มก็จะเสียไป ชีวโมเลกุลจะไปซ่อมแซมดุจการซ่อมตรายางและเติมน้ำหมึก ทำให้คุณภาพการปั๊มดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การแพทย์ชีวโมเลกุลสามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิดปกติ ตลอดจนคำสั่งที่ผิดพลาดต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งจึงใช้เป็นการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด
ปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 20,000 คน ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันใช้การแพทย์ชีวโมเลกุลในการรักษาผู้ป่วย
และมีประเทศที่ให้การรับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ทั่วโลกจำนวน 48 ประเทศ มีผู้เข้ารับการรักษาทั่วโลกประมาณ 180 ล้านคน ประสบผลสำเร็จในการรักษาและไม่พบอาการแพ้ของผู้ป่วย
โรคที่ได้รับการระบุว่าสามารถรักษาได้ด้วยการแพทย์ชีวโมเลกุล คือ โรคความเสื่อมทุกประเภท โรคหัวใจ
เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ภูมิแพ้ รูมาตอยด์ กระดูกเสื่อม ไตวาย หัวใจล้มเหลว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทอง ความพิการทางสมอง ระบบประสาทถูกทำลาย โรคเครียด โรคตับ โรคสมองเติบโตช้าในเด็ก ปัญญาอ่อน โรคเลือด โรคเหงือกและฟัน โรคของตับอ่อน ต้อหิน ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิคุ้มกันไวเกิน โรคหู โรคตา โรคผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ภาวะมีบุตรยาก โรคผิวหนัง สิวหัวช้าง โรคเส้นเลือดตีบ พาร์กินสัน แผลในกระเพาะอาหาร
มีสถิติที่น่าสนใจคือ โรคเรื้อรังต่างๆที่แพทย์ระบุว่าสิ้นหวังแล้ว สามารถทำให้ผู้ป่วยกระเตื้องขึ้น หรือ หายขาดจากโรคได้สำเร็จถึง 68%
จุดเด่นของการรักษาด้วยชีวโมเลกุล
- ใช้รักษาโรคที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผลแล้ว
- ไม่มีการแพ้ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ใช้ได้แม้กระทั่งในเด็กทารก
- เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่รักษาที่อาการ ยกตัวอย่างในโรคเบาหวานที่ต้องใช้ อินซูลิน ความผิดปกติอยู่ที่ IsIet cell of Langerhans แพทย์ปัจจุบันใช้อินซูลินจากภายนอกเข้าไปชดเชย ซึ่งต้องใช้ไปตลอดชีวิต ส่วนการแพทย์ชีวโมเลกุลใช้เซลล์จากตับอ่อนเข้าไปซ่อมเซลล์ตับอ่อน
- เป็นการรักษาโดยการฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ การเจ็บป่วยของมนุษย์ไม่ได้เกิดเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง แต่มักจะเชื่อมโยงทั้งระบบ การรักษาที่ได้ผลจึงเน้นการรักษาทั้งร่างกายแบบองค์รวม
- ทำให้มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวขึ้น และทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพดีตามสมควร “GIVE LIVE MORE YEARS AND GIVE YEARS MORE LIVE”
ข้อบ่งชี้ในการรักษา
- ไม่สามารถรักษาโรคติดเชื้อได้
- ได้ผลมากในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของอวัยวะ
"Awakening the power of the cells"
ภายใต้คำกล่าวนี้ บริษัท vitOrgan ประเทศเยอรมนี ได้เป็นผู้นำในการผลิตผลิตภัณฑ์ไวทาลีน และสารสกัดบำรุงอวัยวะเดี่ยวตัวอื่นๆสำหรับใช้ในมนุษย์และสัตว์ โดยดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 1954
สารสกัดจากอวัยวะสัตว์ ซ่อมแซมอวัยวะคน
สารสกัดจากอวัยวะที่ผลิตโดยบริษัท vitOrgan มีจำนวนทั้งหมด 100 ชนิด ซึ่งใช้สำหรับควบคุมและซ่อมแซมอวัยวะที่เป็นโรค และความผิดปกติในระดับเซลล์ เมื่อรับประทานสารสกัดจากอวัยวะใดเข้าไป มันจะตรงไปที่อวัยวะนั้น และทำการซ่อมแซมอวัยวะที่เสื่อมให้กลับคืนสู่ปกติ โดยการกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย ดังนั้น ผู้ป่วยจึงมีอาการดีขึ้น และไม่ใช่เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรคเลย