โรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน: โปรโตคอลเพื่อป้องกันและบรรเทาความเสียหายของเส้นประสาท

เพิ่มเพื่อน

         ลองจินตนาการว่า  วันหนึ่งคุณอาจสูญเสียความรู้สึกที่เท้า, ข้อเท้า และขาส่วนล่าง  และในที่สุด  ความรู้สึกที่หายไปนี้  อาจนำไปสู่การติดเชื้อ, การเป็นแผล  หรือแม้แต่การตัดแขนขาที่ไม่สามารถรักษาได้     สภาพที่น่ากลัวแต่เป็นจริงมากนี้เรียกว่า  โรคระบบประสาทส่วนปลายของเบาหวาน (DPN - diabetic peripheral neuropathy)       ตามที่สถาบันโรคเบาหวานแห่งชาติและระบบทางเดินอาหารและโรคไตพบว่า  ผู้ป่วยโรคเบาหวานถึง 70% ได้รับความเสียหายจากเส้นประสาท

         ซึ่งหมายความว่า  เรากำลังเผชิญกับผู้ป่วยโรค DPN ที่เพิ่มขึ้น   เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 ยังคงควบคุมไม่ได้     สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ  คนจำนวนมากที่กำลังทุกข์ทรมานจาก DPN ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า  สภาวะนี้สามารถป้องกันได้ และส่วนใหญ่สามารถหายได้

         มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกัน  และแม้กระทั่งการหายขาดจากโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน      แม้ว่าการแพทย์กระแสหลักจะโต้แย้งว่า  ความเสียหายของเส้นประสาทดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างถาวร  และไม่สามารถย้อนกลับได้     นี่ไม่เป็นความจริงแบบเดียวกับความเชื่อของแพทย์หลาย ๆ คนที่ว่า  โรคเรื้อรังจำนวนมากไม่สามารถย้อนกลับได้    ในเมื่อมี “หลักฐานของผู้ป่วยจำนวนมาก” ที่ได้ผลในทางตรงกันข้าม

         ดังนั้น  เมื่อการแพทย์กระแสหลัก บอกว่า  โรคบางอย่างไม่สามารถรักษาให้หายได้หรือย้อนกลับได้   ควรเพิ่มวลีที่ว่า…“ ด้วยการแพทย์กระแสหลัก”

 

โรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวานคืออะไร

         ทุกครั้งที่ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานคาร์โบไฮเดรต และอาหารอื่น ๆ ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลในเลือดสูง   ระดับน้ำตาลจะสูงกว่าปกติ     ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นนี้  อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดขนาดเล็ก และเซลล์ประสาทซึ่งได้รับความเสียหายและเสื่อมสภาพ     และนำไปสู่การเสื่อมของเส้นประสาท  ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการชา และความไวต่อความเจ็บปวดและสิ่งเร้าภายนอกที่สูงขึ้น (เช่น การสัมผัส, ความร้อน และความเย็น)

         โรคระบบประสาทมักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกสามประการ:

  1. Paraesthesia - ชาและ / หรือรู้สึกเสียวซ่า (tingling)
  2. Causalgia - ความรู้สึกแสบร้อน
  3. Dyesthesia - ความรู้สึกแสบร้อน, คัน และรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมาไต่ในบริเวณที่มีอาการชาหรือไร้ความรู้สึก
             ยิ่งเป็นเบาหวานนานเท่าไหร่   ความเสียหายก็จะเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงขึ้น       ความเสียหายนี้รวมถึงการสูญเสียความรู้สึกส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดที่เท้า และขาส่วนล่าง  และในที่สุดก็เป็นแผลติดเชื้อ  และแม้กระทั่งต้องโดนตัดแขนขาที่ไม่สามารถรักษาได้  และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 

การป้องกันโรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวานผ่านการรับประทานอาหาร

         เห็นได้ชัดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคระบบประสาทส่วนปลายของโรคเบาหวานคือ  อย่าเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่แรก (แม้ว่าสำหรับหลาย ๆ คนอาจจะสายเกินไป)     หากคุณยังไม่เคยเป็นโรคเบาหวาน  ให้ทำตามขั้นตอนเพื่อป้องกัน  โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป, อาหารขยะ และอาหารจานด่วนแบบอเมริกัน (SAD - standard American diet)    จำกัดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมาก ๆ หรือส่วนผสมที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาล  เช่น แป้งสาลี (โดยเฉพาะแป้งที่ผ่านการฟอกขาวด้วยสารฟอกขาว) และผักที่มีปริมาณแป้งสูง

         นอกจากอาหารพวก  ลูกอม, พาย, เค้ก, คุกกี้, ไอศกรีม และน้ำอัดลมแล้ว   ยังควรจำกัดการดื่มน้ำผลไม้ (โดยเฉพาะที่วางขายในชั้นวางของห้างสรรพสินค้า) อาหารแปรรูปมันฝรั่ง (โดยเฉพาะ ในรูปแบบของมันฝรั่งทอด และเฟรนช์ฟรายส์) ขนมอบที่มีแป้งสาลี    และธัญพืชแปรรูปอื่น ๆ

         หากคุณมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน (มีระดับ HbA1C ในเลือด 5.7 ถึง 6.0)    การหลีกเลี่ยงรายการอาหารเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงอาจทำให้ระดับ A1C ของคุณกลับเข้าสู่ช่วงปกติที่ไม่ใช่โรคเบาหวานได้ (หมายเหตุ: การทดสอบ A1C มีหลายชื่อ  เช่น การทดสอบฮีโมโกลบิน A1c, HbA1c หรือไกลโคฮีโมโกลบิน)

         รับประทานอาหารออร์แกนิกให้มากที่สุด  รวมทั้งผักจำนวนมาก    บริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอนที่จับได้จากทะเลธรรมชาติ, อะโวคาโด, น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, เมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันมะพร้าว และถั่วเมล็ด, พืชราก และเห็ดเพื่อสุขภาพ

         เนื้อวัวและไก่ที่เลี้ยงปล่อยอย่างอิสระด้วยหญ้าออร์แกนิกปลอดสาร  เป็นอาหารที่ดีเช่นเดียวกับไข่ไก่ออร์แกนิก     ถ้าเป็นไปได้ให้จำกัดผลิตภัณฑ์จากนมเนยให้เหลือแค่เนย หรือเนยใส และนมออร์แกนิกในปริมาณที่พอเหมาะ     นมดิบดีกว่า และนมแพะดิบดีที่สุด

         อย่าใช้ชีวิตแบบคนขี้เกียจที่เอาแต่นั่งดูทีวีบนโซฟาอยู่ประจำ    ควรออกกำลังกายเป็นประจำ และระวังไขมันหน้าท้อง  เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโรคเบาหวาน

 

การหายจากโรคเบาหวาน  เป็นกุญแจสำคัญในการหายจากโรคระบบประสาทส่วนปลายของโรคเบาหวาน

         ในการหายจากโรคระบบประสาทส่วนปลายของเบาหวาน   เราก็ต้องหายจากโรคเบาหวานด้วย   ซึ่งสามารถทำได้ แต่ต้องใช้วิธีธรรมชาติเท่านั้น       ความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของการแพทย์กระแสหลักคือสมมติฐานว่า  โรคเบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว     ทำให้เราคิดว่า  เราสามารถกินอะไรก็ได้ที่ต้องการ  ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย  และจัดการกับภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพจากโรคเบาหวานได้ด้วยยาเม็ดหรือการฉีดยา    ที่พูดมาทั้งหมด  ไม่มีอะไรที่เป็นความจริง!

         การรักษาโรคเบาหวานด้วยยาทั่วไป  ประกอบด้วยการรักษาอาการของโรคเบาหวาน (ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และระดับ A1C ในเลือดสูง) ด้วยยาที่เพิ่มขึ้น (และอันตรายเพิ่มขึ้น)เรื่อย ๆ  และการรับประทานอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิงในปริมาณที่น้อยลง 

         วิธีการดังกล่าว  แทบจะรับประกันได้ว่าโรคเบาหวานจะเลวร้ายลงเมื่อเวลาผ่านไป และความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ   รวมถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือ 4 เท่า  และภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวของโรคระบบประสาทส่วนปลาย

         มี 2 วิธีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการย้อนกลับโรคเบาหวาน     วิธีแรก คือ เปลี่ยนไปรับประทานอาหารคีโตเจนิก (ketogenic diet) อย่างน้อยก็จนกว่าโรคเบาหวานจะหาย       อาหารคีโตเจนิก (หรือที่เรียกว่าคีโตหรือ LCHF) คือการทานไขมันจำนวนมาก และคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย       อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงอาหารที่ “ไม่ควรทาน” ทั้งหมด  รวมถึงอาหารที่ระบุไว้ข้างต้น และอื่น ๆ   และรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพจากผักและผลไม้บางชนิด

         นอกจากนี้ต้องรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ แต่ไม่มากเกินไป  และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทุกชนิด  ยกเว้น ดาร์กช็อกโกแลต (dark chocolate) ที่มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้สูง และน้ำทับทิมสดวันละ 60-90 มล.

 

การรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน (DPN)

         การรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน  เกี่ยวข้องกับการสร้างเส้นประสาทที่เสียหายหรือสูญเสียใหม่   ซึ่งอาจต้องใช้เวลา  และยิ่งผู้ป่วยมีอาการเส้นประสาทส่วนปลายเป็นโรคเบาหวานนานเท่าไร   ก็อาจใช้เวลานานขึ้น     แม้ว่าอาจจะใช้เวลาหลายปี   หากคุณเป็นผู้ป่วย DPN โปรดจำไว้ว่า  สามารถทำได้

         สมมติว่าคุณหายจากโรคเบาหวาน  หรืออยู่ในระหว่างการดำเนินการดังกล่าว   และคุณกำลังปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการดำเนินชีวิตในการรักษาโรคเบาหวาน    โปรดอ่านภาพรวมของโปรโตคอลบางประการในการรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน

 

The Diabetic Peripheral Neuropathy Reversal Protocol ของ Dr. Ken O’Neal

 

         ดร. เคน  โอนีล  เป็นแพทย์และแพทย์ทางเลือก  ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อน หันมาใช้ธรรมชาติในการรักษา เพราะอย่างที่เขาพูดว่า “ผมเป็นหมอเพื่อรักษาผู้คน และผมไม่ได้รักษาใครด้วยยากระแสหลัก - ผมแค่จัดการอาการของพวกเขาด้วยยาที่อาจมีผลข้างเคียง  ซึ่งนำไปสู่ภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น”

           โปรโตคอลที่ ดร. โอนีล แนะนำสำหรับการรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน  สรุปโดยย่อคือ:

1. กินอาหารคีโตเจนิก   โดยทานคาร์โบไฮเดรตเพียง 2-3 servings (จำนวนหน่วยบริโภค) หรือผักคาร์โบไฮเดรตต่ำทุกวัน

2. ใช้ Ketostix Test Strips เพื่อให้แน่ใจว่าคุณอยู่ในภาวะคีโตซิสที่ไม่รุนแรง  และเรียนรู้สิ่งที่ต้องทำเพื่อรักษาให้อยู่ระดับนั้น

Ketostix Ketone Test Strips | Ketostix Ketosis Strips
3. รับประทานน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 2-3 ช้อนโต๊ะทุกวัน     น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพมาก
4. บริโภคถั่วและ / หรือเมล็ดพืช ½ ถ้วยทุกวัน  เพื่อให้ได้ไขมันและโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ
5. รับประทานน้ำมันปาล์มแดงออร์แกนิกที่ไม่ผ่านการกลั่น 2-3 ช้อนโต๊ะทุกวัน     น้ำมันปาล์มมีวิตามินอี (โทโคฟีรอล และโทโคไตรอีนอล) ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาโรคเบาหวานและโรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน (ดร. เคน แนะนำให้รับประทานวิตามินอี 400 IU ทุกวัน)  น้ำมันปาล์มยังมีแคโรทีนอยด์ (อัลฟา, เบต้า และแกมมาแคโรทีน) , สเตอรอล (sitosterol, stigmasterol และ campesterol) และสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ละลายน้ำที่มีฤทธิ์แรง, กรดฟีนอลิก และฟลาโวนอยด์

Red Palm Fruit Oil by New Roots Herbal | From Ecoresponsibly Harvested  Fruits (500 ml) | Natural Health Products
6. ห้ามบริโภคเอทานอล  ซึ่งหมายความว่าไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
7. รับประทานวิตามินบี 6 วันละ 100 มก. ในรูปแบบ ไพริดอกซัล ฟอสเฟต (pyridoxal phosphate)

8. รับประทานไนอาซินาไมด์ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง       Niacinimide เป็นวิตามินบีที่สำคัญและช่วยให้หลอดเลือดปราศจากคราบไขมันเกาะ
9. ทาน้ำมันแมกนีเซียม 1 ช้อนชา ลงบนบริเวณเท้าที่มีปัญหา 3 ครั้งต่อวัน  Amazon | 100% ピュア マグネシウム オイル[海外直送品] | Life-Flo | 洗浄・保存液
10. สังกะสี 30 มก. ต่อวัน  ซึ่งพบในถั่ว และเมล็ดพืช  รวมทั้งในรูปแบบอาหารเสริม       หมายเหตุ: อย่าบริโภคสังกะสีเกินปริมาณที่กำหนด   แต่ให้แน่ใจว่าได้รับสังกะสีในปริมาณที่แนะนำทุกวัน
11. รับประทานน้ำมันปลาคุณภาพสูง 1,000 มก. ต่อวัน 

12. แปะก๊วย (ginkgo biloba) 120 ถึง 240 มก. ทุกวัน       แปะก๊วยเป็นฟลาโวนอยด์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป  และมีความสำคัญในการเพิ่ม และรักษาการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนล่าง   รวมทั้งปกป้องผนังหลอดเลือด
13. เพื่อบรรเทาอาการปวด   ให้ทาครีมที่มีส่วนประกอบของพริก       พริก (Capsicum) จะปิดกั้นเส้นใยประสาทขนาดเล็กที่นำความปวด   
         ดร. โอนีล กล่าวว่า  เป้าหมายของโปรโตคอลข้างต้นควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และโปรแกรมการออกกำลังกาย  คือระดับ Hgb A1c ที่ 5.4 ภายใน 3 เดือน

 

        โปรโตคอลของ ดร. โรเบิร์ต  เอ. คอร์นเฟลด์  สำหรับการรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน

 

         ดร. โรเบิร์ต  เอ. คอร์นเฟลด์  เป็นหมอรักษาโรคเท้าแบบองค์รวม ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน       คำแนะนำด้านอาหารของเขาสำหรับ DPN ได้แก่ :

 

  • รับประทานอาหารโปรตีนที่ไม่ติดมันประมาณ 40%     โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ  เช่น ปลา (โดยเฉพาะปลาขนาดเล็กที่จับตามธรรมชาติ) และเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า, ไก่, เนื้อแกะ หรือเนื้อหมู       เขาตั้งข้อสังเกตว่า  แหล่งโปรตีนมังสวิรัติ  เช่น ถั่วเหลือง (non-GMO) หมัก และเทมเป้  เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน
  • การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพ 30%   เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, น้ำมันงา, น้ำมันดอกคำฝอย หรือน้ำมันเมล็ดองุ่น  เพื่อปรุงอาหาร  และเพิ่มถั่ว และเมล็ดพืชเป็นของว่างหลัก     เช่นเดียวกับคำแนะนำด้านสุขภาพตามธรรมชาติอื่นๆ    ดร. Kornfeld แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์นมในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
  • ปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ควรเกิน 30% ของอาหาร  และควรเน้นผักที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ, ผลไม้, เมล็ดธัญพืช และเมล็ดงอก       หลีกเลี่ยงการทานคาร์โบไฮเดรตแปรรูป, ผัก และผลไม้ที่มีปริมาณแป้งสูง, น้ำผลไม้, เครื่องดื่มรสหวาน, แอลกอฮอล์ และขนมอบ
  • บริโภคอาหารออร์แกนิก  เพื่อลดปริมาณสารพิษในร่างกาย  และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

         อาหารเสริมที่ Dr.Kornfeld แนะนำ : 

  • กรดอัลฟาไลโปอิค  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายทั้งในไขมันและน้ำ  ซึ่งสามารถปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหาย และช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ประสาทที่ถูกทำลาย เขาแนะนำให้เริ่มด้วย 300 มก. ในแต่ละมื้อ   เว้นแต่จะกำหนดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  GNC Alpha Lipoic Acid 300Mg Supports Antioxidant Regeneration (60 Caplets):  Amazon.in: Health & Personal Care
  • L-arginine ในปริมาณ 250mg  3 ครั้งต่อวัน       L-arginine เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด  ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการซ่อมแซมความเสียหายของเส้นประสาท  ดร. Kornfeld ตั้งข้อสังเกตว่า  ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคเริม  ไม่ควรรับประทานกรดอะมิโนนี้เนื่องจากอาจกระตุ้นให้เกิดเริมขึ้น
  • Kornfeld รายงานว่า  การเสริมด้วยโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6   สามารถช่วยปรับปรุงโรคระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวานได้อย่างมาก   เนื่องจากเซลล์ประสาทใช้ไขมันเหล่านี้เพื่อการซ่อมแซม และการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ     เขาตั้งข้อสังเกตว่า  การตรวจเลือดมักใช้เพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดแดง (RBC) ของไขมันเหล่านี้  เพื่อกำหนดความต้องการเฉพาะ   และโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 จะต้องอยู่ในระดับที่สมดุลกัน
  • วิตามินบีรวมที่สมดุลอาจช่วยในอาการของโรคระบบประสาทส่วนปลาย    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิตามิน B รวม มีระดับวิตามินบีที่ทำงานร่วมกัน  และไม่ใช่แค่วิตามินบีทุกตัวในขนาดเดียวกัน  และต้องมีโฟเลตในระดับที่เพียงพอ (400 ไมโครกรัม)       ดร. Kornfeld ตั้งข้อสังเกตว่า  ระดับ B6 ในระดับสูงอาจทำให้อาการแย่ลงเมื่อทานเป็นเวลานาน    ดังนั้น  เขาจึงแนะนำให้ระวังอย่ากินมากเกินไป
  • นอกจากนี้ยังสามารถให้วิตามินบี 12 ได้โดยการฉีดทุกสัปดาห์  ซึ่งจะทำให้ระดับวิตามินบี 12 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ในกรณีที่วิตามินบี 12 แบบรับประทานใช้ไม่ได้ผล)
             ดร. Kornfeld เห็นด้วยกับคำแนะนำของ ดร. โอนีล ที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพราะอาจขัดขวางการใช้ไทอามีน, โฟเลต และวิตามินบี 12 ของร่างกายอย่างเหมาะสม  และจะทำให้อาการของโรคระบบประสาทแย่ลง

 

      คำแนะนำของ นพ. Jack Kruse สำหรับโรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน

         ดร. แจ็ค  ครูส  เป็นศัลยแพทย์ระบบประสาท และเรียกตัวเองว่า “Optimal Health Educator”     เขาตั้งข้อสังเกตทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับโรคระบบประสาทส่วนปลายของโรคเบาหวานในบทความที่ยอดเยี่ยมของเขาเรื่อง  “สิ่งที่ต้องทำเกี่ยวกับโรคระบบประสาท”

         ในบทความนี้ ดร. ครูส พูดถึงบทบาทของแสงสีฟ้าและสนามแม่เหล็กความถี่ต่ำมาก (ELF - extreme low frequency)     นอกจากนี้  เขายังกล่าวถึงบทบาทสำคัญของการมีไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ  สำหรับการสร้างคีโตเจนิกในเส้นประสาทของเรา  ซึ่งเขาอธิบายว่า  มีความสำคัญต่อการเกิด  myelination ของเส้นประสาททั้งหมดในมนุษย์ (หมายเหตุ: myelination คือ  การสร้างชั้นฉนวนป้องกันรอบเส้นประสาท)  Myelin - Wikipedia

         Kruse แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยง EMF จากโทรศัพท์มือถือ และจากไดโอดเปล่งแสงสีฟ้า นอกจากนี้  เขายังแนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohols) ที่พบในอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำหลายชนิด  รวมทั้งซอร์บิทอลที่เป็นสารให้ความหวาน

         คำแนะนำอื่น ๆ สำหรับ DPN โดย Dr. Kruse ได้แก่ :

  • อาหารคีโตเจนิกประเภท Paleo ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำอย่างเข้มงวด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับในหนังสือของ Dr. Kruse เรื่อง "Epi-paleo Rx: The Prescription for Disease Reversal and Optimal Health"   
  • ระวังอาหารคาร์โบไฮเดรตทอด    คาร์โบไฮเดรตที่ทอดในน้ำมัน PUFA จะสร้างสารเคมีอะคริลาไมด์  ซึ่งเป็นสารประกอบที่เชื่อมโยงอย่างมากกับการพัฒนาของโรคระบบประสาทส่วนปลาย
  • การใช้อาหารเสริมไอโอดีน และไอโอไดด์, R-alpha lipoic acid, resveratrol, PQQ, แมกนีเซียมและ CoEnzyme Q10 เพื่อลดความเครียดของเซลล์ (หมายเหตุ: กรดอาร์อัลฟาไลโปอิคเป็นอะนาล็อก "carnitine like" ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลการขาดคาร์นิทีน  และมักใช้เป็นยารักษาโรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน)
  • ความสมดุลของกรดไขมันเพื่อลดการสร้างเปอร์ออกไซด์       Kruse กล่าวว่า  เป้าหมายคือการลดไขมันโอเมก้า 6 และเพิ่มไขมันโอเมก้า 3   รวมทั้งเพิ่มกรดแกมมาไลโนเลนิก (GLA) น้ำมันบอราจมี GLA จำนวนมาก   เช่นเดียวกับ black currant oil (น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดในผลแบล็คเคอแรนท์) และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส     น้ำมันเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเพื่อลดความเครียดของเซลล์
  • การเสริมวิตามิน B   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง B1 และ B12
  • การเพิ่มวิตามิน D3 และวิตามินอี  เนื่องจากช่วยปรับภูมิคุ้มกันและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในเส้นประสาท       การใช้อิโนซิทอลก็เป็นทางเลือกในการรักษา
  • การเสริมด้วยสังกะสี, แมกนีเซียม และวิตามิน K2       สังกะสี และแมกนีเซียม  เป็นแร่ธาตุ 2 ชนิดที่พบว่าขาดบ่อยที่สุดในอาการปวดประสาท       สังกะสีช่วยในการรักษาบาดแผลได้อย่างดีเยี่ยม
  • การเสริมด้วย N-Acetyl Cysteine ​​(NAC) และ Acetyl-L-Carnitine       NAC เป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน  ซึ่งช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ผลิตโดย polyol pathway ในเส้นประสาท       เสริมคาร์นิทีน  เนื่องจาก polyol pathway ทำให้คาร์นิทีนหมดไป
  • การเพิ่มประสิทธิภาพของฮอร์โมนไทรอยด์เป็นสิ่งสำคัญ

         อาหารเสริมอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา ได้แก่ สารสกัดจากอบเชย, เส้นใยที่ละลายน้ำ (soluble fibers), โสมอินเดีย (Ashwagandha) และสมุนไพรอายุรเวทอื่น ๆ และโครเมียม GTF

โปรโตคอล DPN ใช้เวลาและความสม่ำเสมอ

 

         ดังที่เห็นจากโปรโตคอล และคำแนะนำเพิ่มเติมที่ระบุไว้ข้างต้น    วิธีการต่างๆ และอาหารเสริมที่แตกต่างกันได้ถูกนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับโรคระบบประสาทส่วนปลายของโรคเบาหวาน    

 

         อย่างไรก็ตาม  จงตระหนักว่า  อาจต้องใช้เวลามากพอสมควร  และการอุทิศตนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ       จากข้อมูลของ Dr. O’Neal และ Dr. Kruse   ในขณะที่โรคเบาหวานอาจดีขึ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน   แต่โรคระบบประสาทส่วนปลายจากเบาหวาน  อาจใช้เวลานานถึง 18 เดือน ถึง 3 ปี หรือนานกว่านั้น