เราจะต่อสู้กับไวรัสได้อย่างไร
มีเพียงสิ่งเดียวที่เรารู้ว่าสามารถต่อสู้และชนะการต่อสู้กับไวรัสได้ นั่นคือ ระบบภูมิคุ้มกันของเราเอง วัคซีนสามารถฝึกระบบภูมิคุ้มกันในการรับรู้ไวรัส แต่ระบบภูมิคุ้มกันยังคงต้องชนะการต่อสู้ ต่อไปนี้เป็นบทแนะนำพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ เพื่อปกป้องเราและรักษาชีวิตของเรา
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร?
เซลล์ภูมิคุ้มกันของเราจะไหลเวียนผ่านเลือดเป็นส่วนใหญ่ โดยจะคอยมองหาสัญญาณของปัญหาจากเซลล์รอบข้าง เมื่อพวกมันได้รับสัญญาณที่ผิดปกติ พวกมันจะระดมพล เคลื่อนย้าย และบีบตัวผ่านเซลล์และเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว จนกว่าพวกมันจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุ มีระบบการสื่อสาร 2 ประเภทที่เซลล์ภูมิคุ้มกันใช้ เพื่อให้พวกมันรู้ว่า ต้องทำอย่างไร
(1) ระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (The innate immune system) ใช้สัญญาณรีดอกซ์ (Redox Signals) ที่มาจากเซลล์ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกออกซิเดชั่น และไซโตไคน์ที่กระตุ้นในเวลาต่อมา (the distress signals) เพื่อค้นหาตำแหน่งที่เซลล์ที่ถูกทำลาย (เราจะเห็นเป็นเนื้อเยื่อที่อักเสบ และเป็นสีแดง)
(2) Adaptive immune system หรือ acquired immune เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะเจาะจง (specific immune system) ต่อชนิดของเชื้อโรค จะจดจำ "bad guys" เมื่อพวกมันเจอะเจอ "bad guys" พวกมันจะระดมอาวุธเข้ามาต่อสู้ และฆ่าผู้ร้ายเหล่านั้น และทำความสะอาดเซลล์ที่เสียหาย บ่อยครั้งที่เซลล์หลายล้านเซลล์ต้องได้รับความเสียหาย ก่อนที่จะเกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ และสามารถระบุตัวคนร้ายได้สำเร็จ
เซลล์ภูมิคุ้มกันฆ่าไวรัสได้อย่างไร?
“อาวุธ” ที่เซลล์ภูมิคุ้มกันใช้ และฆ่าสิ่งแปลกปลอมเกือบทุกอย่าง เรียกว่า “การระเบิดออกซิเดชั่น (oxidative burst)” ซึ่งเกิดจากการรวมกันของโมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์เดียวกันที่ใช้ในการส่ง distress signal สำหรับผู้ที่เข้าใจในทางเทคนิค โมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์เหล่านี้ ได้แก่ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2), กรดไฮโปคลอรัส (HOCl), ซูเปอร์ออกไซด์ (O2 * -) และไฮโปคลอไรต์ไอออนอื่น ๆ และสายพันธุ์ออกซิเจนที่ทำปฏิกิริยา (reactive oxygen species -ROS) ในการผสมผสานที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งต้านการอักเสบ (ส่งผ่านสัญญาณ) หรือถึงแก่ชีวิต และอักเสบ (ฆ่าเซลล์และไวรัส) สมดุลรีดอกซ์ทางเคมี คือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม เซลล์ภูมิคุ้มกันมีอาวุธที่ดีที่สุด และได้รับการฝึกฝนวิธีการใช้ "อาวุธ" เหล่านี้ หากพวกมันทำหน้าที่ผิดพลาด พวกมันอาจเริ่มทำลายเซลล์ที่ดี และแบคทีเรีย หรือเริ่มพายุไซโตไคน์ได้ (cytokine storm) (ดูด้านล่าง)
ระบบภูมิคุ้มกันต้องการอะไร เพื่อให้เกิดการทำลายไวรัสอย่างเหมาะสมที่สุด?
สิ่งพื้นฐานที่เซลล์ภูมิคุ้มกันของเราต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพนั้น พบได้ในสารอาหารที่เรารับประทาน ซึ่งส่วนใหญ่พบในผักและผลไม้ ได้แก่ แมกนีเซียม, สังกะสี, ซีลีเนียม, ทองแดง, วิตามิน A, B12, C, D3 และอื่น ๆ กรดอะมิโนในโปรตีน ก็จำเป็นในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย จำเป็นต้องมีโฟเลต (ในผัก) เพื่อสร้างดีเอ็นเอ และการสื่อสารทางประสาท เราไม่สามารถพูดถึงความสำคัญของสารอาหารเหล่านี้ได้หมด ไม่มีอะไรสามารถทดแทนได้ !!! ไปที่แผนกผัก ผลไม้ในซุปเปอร์มาร์เก็ต และเลือกทุกอย่างที่ดูเขียวชอุ่มและมีสีสัน (สีเขียว, ส้ม, สีแดง, สีม่วง) เรียนรู้วิธีเตรียมสลัดแสนอร่อย (หรือทำสมูทตี้) ที่ดียิ่งไปกว่านั้น เรียนรู้วิธีการปลูกพวกมัน! การผสมผสานที่ลงตัวของสารอาหาร และโปรไบโอติก พบได้ในผักสดในสวนที่ปลูกในดินที่ดี หากไม่มีสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ กองทัพระบบภูมิคุ้มกันของเรา จะไม่มีเสบียงที่จำเป็นสำหรับการเอาชนะข้าศึก วิตามินซี และสมุนไพรรสขมจำนวนมาก มีประโยชน์มากในการต่อสู้กับไวรัส ซุปที่ทำเองที่บ้านนั้นวิเศษมาก และยังช่วยล้างไวรัสออกจากลำคอของเราอีกด้วย!
อะไรทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลง?
ในระหว่างการบุกรุกของไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันของเราต้องติดอาวุธเพื่อฆ่าไวรัสหลายล้านล้านตัว จุดอ่อนใด ๆ ในระบบการป้องกันของเรา สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานมากมายให้กับอวัยวะและเนื้อเยื่อของเรา เพื่อที่จะชนะ เราควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้การป้องกันของเราอ่อนแอลง นอกจากการขาดสารอาหาร, สเตียรอยด์, ยาแก้แพ้, ยาแก้ปวดหลายชนิด, ยาแก้หวัด และยาบางชนิด อาจทำให้การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอย่างมาก และทำให้การฟื้นตัวของคุณช้าลง ควรหลีกเลี่ยงสิ่งดังกล่าว เว้นแต่จำเป็นจริงๆเพื่อลดอาการบวม คาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไป และอาหารที่มีน้ำตาล จะเพิ่มน้ำตาลในเลือดแม้ว่าจะให้พลังงาน แต่มันก็ทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดผลเสียต่อหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจทำให้การส่งสัญญาณของเซลล์ภูมิคุ้มกันสับสน และ / หรือ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป มันจะเป็นอันตรายได้ หากมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันมากเกินไป
Cytokine Storm คืออะไร?
ไซโตไคน์ (distress signals) ช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันรับรู้ว่าควรไปที่ไหน หากระบบภูมิคุ้มกันได้รับการกระตุ้นมากเกินไป ก็สามารถเริ่มทำร้ายเซลล์ที่มีสุขภาพดี, สร้าง distress signals มากเกินไป (ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น - oxidative stress) สัญญาณเหล่านี้จะสร้างไซโตไคน์มากขึ้น ซึ่งทำให้มีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่มากขึ้นอีก และสิ่งทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการโจมตีเต็มรูปแบบที่ไม่จำเป็นและน่าเศร้า จำเป็นต้องมีการส่งสัญญาณรีดอกซ์ที่สมดุลเพื่อเคลียร์สิ่งต่างๆ ในบางครั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาจใช้ตัวยับยั้งภูมิคุ้มกัน เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของไซโตไคน์ อาการแพ้ที่รุนแรงมักเกี่ยวข้องกับพายุไซโตไคน์ (cytokine storms)
ไวรัสทำงานอย่างไร?
ไวรัสเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ของสารพันธุกรรม (viral RNA) ที่สามารถยึดติดกับเซลล์ และถูกฉีดเข้าไปในเซลล์ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น DNA และต่อเข้ากับรหัสดีเอ็นเอของเรา เมื่อการเข้ารหัสดีเอ็นเอของไวรัสนี้ถูกดำเนินการ (แสดงออก) โดยเซลล์ มันจะสร้างไวรัสมากขึ้น และสามารถแพร่เชื้อไปยังเซลล์อื่นได้ แพ็คเก็ตไวรัสมีรูปร่างแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Coronavirus ดูเหมือนลูกบอลเล็ก ๆ ที่มีหนามแหลมออกมา (เหมือนมงกุฎ) ในตอนปลายของหนามแหลมเป็นเครื่องจักรระดับโมเลกุลที่ใช้ในการยึดติด (ฟิวส์) กับตัวรับเซลล์ และฉีดสารพันธุกรรมเข้าไปในเซลล์ เมื่อเซลล์ติดเชื้อและถูก activated เซลล์สามารถสร้างสำเนาของไวรัสเดียวกันได้หลายล้านชุด ไวรัสเหล่านี้จะเพิ่มจำนวนเต็มไปหมดภายในเซลล์ และทำลายเซลล์ ส่งไวรัสหลายล้านตัวออกไป จากนั้นสามารถแพร่เชื้อไปยังเซลล์อื่นได้
ระบบภูมิคุ้มกันจะตรวจจับ distress signals จากเซลล์และไปยังบริเวณนั้น หากเซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถระบุไวรัสได้ the adaptive immune system จะทำงานเพื่อทำลายพวกมัน
ระบบภูมิคุ้มกันของเรา สามารถฆ่าโคโรนาไวรัสได้หรือไม่?
ได้ ระบบภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถฆ่าไวรัสได้เมื่อมันเข้าไปอยู่ในตัวเรา เราต้องมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานเต็มที่จึงจะชนะ! ผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่า
เราทำได้และจะเอาชนะไวรัสตัวนี้อย่างที่เราเคยทำมาตลอดประวัติศาสตร์ทั้งหมด
การมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคือกุญแจสำคัญ!