ทำไมการส่งสัญญาณรีดอกซ์จะเปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งใหญ่
เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้า การค้นหาการรักษาที่ไม่เป็นอันตรายต่อบางส่วนของร่างกาย แต่ยังมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง ก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติ หลังจากการวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์ การรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักจะมาพร้อมกับรายการผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายต่อคนบางคนมากกว่าอาการที่เป็นอยู่เดิมเสียอีก วิทยาศาสตร์การแพทย์ชดเชยด้วยการวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อค้นหาวิธีรักษาผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ในขณะที่ความพยายามดังกล่าวทำให้นักวิจัยทางการแพทย์ไม่มีเวลาว่าง และบริษัทยามีกำไร ในบางจุด ความก้าวหน้าเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการชั่งน้ำหนักถึงความต้องการของผู้ป่วย โดยทั่วไป ค่ารักษาพยาบาลกำลังเพิ่มสูงขึ้น และผลลัพธ์ก็อาจส่งผลเสียได้ในหลายด้าน
การมองหาวิธีการรักษาที่คุ้มค่าซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดดูเหมือนจะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด เมื่อความเข้าใจในชีววิทยาของเราก้าวหน้าขึ้น ก็เห็นได้ชัดว่า ร่างกายของเราถูกสร้างขึ้นเพื่อรับเอาสิ่งที่เติบโตในและรอบๆ ตัวเราตามธรรมชาติเข้าไปเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนอกนั้นจะได้รับการปฏิบัติโดยร่างกายเหมือนขยะที่ไม่ต้องการ สารเคมีที่ผ่านกระบวนการ, โมเลกุลทางวิศวกรรม และสารสกัดเฉพาะทางที่มีความเข้มข้นสูง อาจเหมาะสมกับแบบจำลองของอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์ในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มที่จะต่อสู้กับชีววิทยาพื้นฐานและก่อให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบ ในทางกลับกัน การเยียวยาที่เข้ากันได้ทางชีวภาพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น เข้ากันได้ดีกับชีววิทยาพื้นฐานของเรา แต่อาจไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์และปรัชญาในปัจจุบัน
เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์เริ่มเปลี่ยนไปสู่การศึกษาสารธรรมชาติที่เข้ากันได้ทางชีวภาพ, ราคาไม่แพง อย่างจริงจังในฐานะการรักษา ในที่สุดก็มีความหวังมากมายสำหรับการค้นพบวิธีรักษาที่คุ้มค่าในอุดมคติ การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยดังกล่าวยังคงเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ เพราะไม่มีแรงจูงใจ ไม่สามารถทำกำไรมหาศาลได้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ในปัจจุบันของเราจากวิธีแก้ปัญหาทางธรรมชาติที่หาและผลิตได้ง่ายราคาไม่แพง ไม่ว่าพวกมันจะมีประสิทธิภาพเพียงใดในฐานะการรักษาก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มักจะสงสัยว่าการรักษาด้วยวิธีธรรมชาตินั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ แม้ว่าจะเห็นผู้ป่วยจำนวนมากป่วยหนักขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การรักษาในปัจจุบันและหมดความหวังสำหรับอนาคต โดยทั่วไปแล้ว พวกเขามักจะเพิกเฉยต่อโภชนาการ, การออกกำลังกาย, น้ำ, ทัศนคติเชิงบวก และการนอนหลับ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญ
การส่งสัญญาณรีดอกซ์เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของวิทยาศาสตร์การแพทย์ การส่งสัญญาณรีดอกซ์เป็นกระบวนการพื้นฐานภายในร่างกายของเราที่ reduce (รีดิวซ์) และออกซิไดซ์ (รีดอกซ์) น้ำเกลือและสารชีวโมเลกุลในตัวเรา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระดับเซลล์ ช่วยให้เซลล์ทำในสิ่งที่พวกมันถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้ทำอย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยให้ร่างกายค้นหาเซลล์ที่เสียหายภายในตัวเรา ฆ่า หรือแทนที่เซลล์เหล่านั้น และสร้างเนื้อเยื่อที่แข็งแรงขึ้นใหม่ พบว่า องค์ประกอบที่สมดุลของ reactive oxygen species (ROS) ที่ผลิตได้ค่อนข้างถูก, ไม่แสดงผลข้างเคียงใด ๆ หลังจาก 20 ปี ของการศึกษาวิจัย และสามารถเพิ่มความสามารถของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้จริง, ปกป้องเซลล์ปกติที่มีสุขภาพดีจากความเสียหาย และเร่งให้เป็นปกติ และการสร้างเซลล์ใหม่
โมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์ดังกล่าวมาในรูปของเหลวใส และสามารถกินเข้าไปได้, เข้าตา, หู, จมูก, หายใจเข้าปอด, ใช้ได้ทั้งภายใน และภายนอกร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด สามารถใช้เป็นเจลเพื่อทาบนผิวหนัง สามารถใช้ล้างแผลได้ พวกมันช่วยหยุดเลือด, ฆ่าเชื้อภายในไม่กี่วินาที, เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ, เพิ่มการรับฮอร์โมน, เปิดช่องทางการสื่อสารของเซลล์, เพิ่มสารรีดิวซ์ (NRF2, สารต้านอนุมูลอิสระ), ลดความเครียดออกซิเดชันและลดคอเลสเตอรอล, ลดการอักเสบและระคายเคือง, ลดเชื้อโรคและความเจ็บปวด ฯลฯ เทคโนโลยีการส่งสัญญาณรีดอกซ์ยังสามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น สเต็มเซลล์, การบำบัดทางโภชนาการ และแร่ธาตุ, โปรแกรมการออกกำลังกาย (เพื่อลดความเสียหายของกล้ามเนื้อและความเจ็บปวด) และการบำบัดด้วยการล้างพิษ เป็นเทคโนโลยีธรรมชาติที่ใช้งานได้หลากหลายและเป็นพื้นฐานอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของสิ่งที่อาจอยู่ข้างหน้าเราในอนาคตของวิทยาศาสตร์การแพทย์
การส่งสัญญาณรีดอกซ์ - หลักการสากลของชีวิต
ทุกลมหายใจที่gikหายใจเข้าไป ออกซิเจนจากอากาศจะพุ่งเข้าสู่ปอด จะถูกดูดซึมเข้าสู่ฮีโมโกลบินในเลือด และเข้าไปยังหัวใจเพื่อสูบฉีดไปเลี้ยงเซลล์หลายล้านล้านเซลล์ในร่างกาย หากคุณสงสัยในความสำคัญของออกซิเจน ลองทำการทดลองง่ายๆ โดยกลั้นหายใจสักครู่ จนหน้าคุณเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว คุณจะเชื่ออย่างเต็มที่ว่า เซลล์ในร่างกายต้องการออกซิเจนอย่างมาก
เซลล์ทำอะไรกับโมเลกุลออกซิเจนเหล่านี้? เซลล์ใช้โมเลกุลออกซิเจนเพื่อจับอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น โมเลกุลของออกซิเจนมีอิเลคตรอนที่ขาดคู่ (เรียกว่าอนุมูลอิสระ) 2 ตัว ที่หิวโหยหาอิเลคตรอนมาเข้าคู่
อนุมูลอิสระ (oxygen free radicals) เหล่านี้ จับอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น เมื่อจับอิเล็กตรอนแล้ว จะเรียกว่า ปฏิกิริยา "reduction"; กล่าวอีกนัยหนึ่ง ออกซิเจนจะถูก "reduced" เมื่อจับกับอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนเหล่านี้ถูกขโมยไปจากโมเลกุลอื่น เมื่ออิเล็กตรอนถูกขโมยไปจากโมเลกุลเหล่านั้น เรียกว่า ปฏิกิริยา "ออกซิเดชัน" โมเลกุลเหล่านั้นถูก "ออกซิไดซ์" ดังนั้น ออกซิเจนจะ "ออกซิไดซ์" โมเลกุลอื่น ๆ โดยการขโมยอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น และตัวมันกลายเป็นรูปแบบ "reduced" ไปพร้อม ๆ กับการจับอิเล็กตรอนดังกล่าว REDOX (REDuction / OXidation) เป็นชื่อพิเศษที่ถูกกำหนดให้กับกระบวนการนี้
เหตุใดกระบวนการ REDOX นี้จึงมีความสำคัญต่อเซลล์มาก เมแทบอลิซึมของน้ำตาล, ไขมัน และคีย์โทน (keytones) เกิดขึ้นในไมโตคอนเดรียจำนวนหลายร้อยที่ใช้สร้างพลังงานภายในเซลล์ ไมโตคอนเดรียเหล่านี้ผลิตพลังงานที่จำเป็นในการให้พลังงานแก่เซลล์ จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนสุดท้ายของการเผาผลาญภายในไมโตคอนเดรีย เพื่อจับอิเล็กตรอนที่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่การขนส่งอิเล็กตรอน (electron transport chain - ETC) (อิเล็กตรอนจะถูกขนส่งอย่างรวดเร็วเพื่อ "ชาร์จแบตเตอรี่" ของไมโตคอนเดรีย) หากไม่มีออกซิเจนเพื่อจับอิเล็กตรอนเหล่านี้ จะทำให้เซลล์หมดเชื้อเพลิงและพลังงาน ดังนั้น ออกซิเจนจึงมีความสำคัญต่อการรักษาแบตเตอรี่เซลล์เหล่านี้ไว้ และเพื่อให้เครื่องจักรของเซลล์ทำงานได้ ออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปมากกว่า 80% ถูกใช้ในไมโตคอนเดรียเพื่อการนี้
เมื่อโมเลกุลออกซิเจน (O2) จับอิเล็กตรอน มันจะเปลี่ยนเป็นออกซิเจนปฏิกิริยา (reactive oxygen) ชนิดใหม่ที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ “ซูเปอร์ออกไซด์แอนไอออน” (O2 * -) อนุมูลออกซิเจนชนิดนี้มีปฏิกิริยาสูง เอนไซม์ที่เรียกว่า “ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส” (สารต้านอนุมูลอิสระที่สร้างขึ้นภายในเซลล์) บริจาคอิเล็กตรอนอีกตัวหนึ่งให้กับซูเปอร์ออกไซด์ และเปลี่ยนมันเป็น “เปอร์ออกไซด์” สถานะเปอร์ออกไซด์ของออกซิเจนนี้ จะดึงดูดไฮโดรเจน 2 อะตอม และกลายเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) จากนั้น เอ็นไซม์อื่นๆ ในเซลล์ (เช่น "คาตาเลส" และ "กลูตาไธโอน") จะ reduce ออกซิเจนประเภทนี้ให้กลายเป็น "น้ำ" (H2O) มีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีกหลายประการที่ reduce ออกซิเจน โดยหนึ่งในนั้น คือการรวมออกซิเจนกับคลอไรด์ไอออน (จากเกลือ) เพื่อสร้าง “ไฮโปคลอไรท์แอนไอออน” (OCl-)
ดังนั้น เราจึงเห็นว่า โมเลกุลออกซิเจนภายในเซลล์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเป็นซีรีส์ โดยมันถูก reduced จากก๊าซออกซิเจนเป็นน้ำ และสถานะอื่นๆ ของออกซิเจน ประเภทของโมเลกุลที่ผลิตในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ (O2 * -, H2O2, OCl-) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น มีชื่อว่า "reactive oxygen species" (ROS) และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกว่า "โมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์ (redox signaling molecules)"
เรื่องราวของการใช้และเปลี่ยนออกซิเจนภายในเซลล์นี้ มีความเก่าแก่พอๆ กับชีวิตบนโลก แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ในเรื่องราวของโลก พืชสีเขียวบนโลกใช้กระบวนการสังเคราะห์แสงในการใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงของออกซิเจนเหล่านี้ย้อนกลับได้ พืชเริ่มต้นด้วยการใช้แสงแดดเพื่อ "กระแทก" อิเล็กตรอนออกจากอะตอมออกซิเจนที่อุดมสมบูรณ์ในโมเลกุลของน้ำ (H2O) เพื่อเริ่มการแปลงแบบย้อนกลับ ในเซลล์พืช เมื่ออิเล็กตรอนถูกขับออกจากออกซิเจนที่อยู่ในโมเลกุลของน้ำ ออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่างๆ ของ ROS ในที่สุด (หลังจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงย้อนกลับทั้งหมด) ออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นโมเลกุลของก๊าซออกซิเจน (O2) ก๊าซออกซิเจนนี้ถูกปล่อยโดยพืช สู่ชั้นบรรยากาศ ขอบคุณพืช ประมาณ 20% ของอากาศในบรรยากาศของเราตอนนี้คือออกซิเจน (O2) เรื่องราวของการที่ออกซิเจนเปลี่ยนจากน้ำเป็นก๊าซออกซิเจนในพืช ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ แล้วเปลี่ยนจากก๊าซออกซิเจนกลับเป็นน้ำในสัตว์ เป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวชีวิตอย่างที่เราทราบ
เฉพาะในทศวรรษที่ผ่านมาเท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์ได้ตระหนักถึงความสำคัญที่แท้จริงของรูปแบบขั้นกลางของออกซิเจน (ROS) ในการเปลี่ยนแปลงนี้ และบทบาทที่พวกมันมีต่อเซลล์ที่มีชีวิต เราพบว่ารูปแบบ ROS เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นโมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์พื้นฐานภายในเซลล์ กล่าวโดยสรุป พวกมันปิดและเปิดสวิตช์ทางพันธุกรรมที่ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ พวกมันถูกใช้เพื่อเคลื่อนอิเล็กตรอนไปรอบๆ ภายในของเหลวน้ำเค็มที่สำคัญ (vital salt-water fluids) ซึ่งเติมเต็มเซลล์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลไกโปรตีนของเซลล์ที่ทำให้เคลื่อนที่ได้ (พับ, คลาย, เปลี่ยนรูปร่าง, แยกออก, มารวมกัน ฯลฯ) ทำหน้าที่แจ้งเซลล์ว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อมีพวกมันมากสะสมเกินไป (สภาพที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน/oxidative stress) ขึ้นอยู่กับจำนวนของพวกมันที่สะสมอยู่ในเซลล์ หน้าที่หลักของเซลล์จะถูกควบคุม ตัวอย่างเช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ที่มากเกินไปในเซลล์พืช จะทำให้การสังเคราะห์แสงช้าลง (ซึ่งจะทำให้พืช "ไม่ถูกเผาไหม้" เมื่อถูกแสงแดดจัด) และในสัตว์ H2O2 ที่มากเกินไปจะทำให้การเผาผลาญช้าลง (ซึ่งจะช่วยป้องกันเซลล์สัตว์จาก "burning out”) กลไกการส่งสัญญาณรีดอกซ์เหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนการควบคุม "คันเร่ง" ในรถของคุณ ทำหน้าที่ควบคุมความเร็วของ "มอเตอร์" ในเซลล์และป้องกันไม่ให้ "ไหม้" กล่าวโดยสรุป หากไม่มีโมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์เหล่านี้ เซลล์จะมีชีวิตอยู่, หายใจ และควบคุมตัวเองไม่ได้
ความรู้ว่ากระบวนการที่เป็นสากลและพื้นฐานที่สุดในชีวิตเหล่านี้ทำงานอย่างไร ทำให้เรามีพลังมหาศาล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจนเหล่านี้ และการส่งสัญญาณรีดอกซ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นในเกือบทุกเซลล์บนโลก เทคโนโลยีการส่งสัญญาณรีดอกซ์จึงแทบจะเป็นสากล โมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์เหล่านี้ ฆ่าแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ (เป็นอาวุธหลักของระบบภูมิคุ้มกัน), พวกมันเปิดสัญญาณเตือน และซ่อมแซมยีนภายในเซลล์, พวกมันมีส่วนร่วมในการควบคุมพลังงาน (ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว), พวกมันมีส่วนร่วมในเครือข่ายสัญญาณไฟฟ้าและเคมีทุกที่, พวกมันยังเป็นตัวหลักในเครือข่ายที่รับรู้ และฆ่าเซลล์ที่บกพร่อง และสร้างเซลล์ที่แข็งแรงขึ้นใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่ช่วยให้เซลล์, เนื้อเยื่อ, อวัยวะ และระบบต่างๆ ของเราทำงานร่วมกันได้ ศักยภาพในการช่วยชีวิตเป็นที่ทราบกันดี เราทุกคนทราบดีว่าการให้ออกซิเจนสามารถช่วยชีวิตได้ reactive oxygen species (ROS) เหล่านี้ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นโมเลกุลส่งสัญญาณรีดอกซ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกล่องเครื่องมือหลักของชีวิต เราสามารถใช้พวกมันเพื่อดำรงชีวิต และอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มากขึ้น