ความถี่แห่งชีวิต: Electromagnetic Radiation และรหัสลับการเยียวยา DNA
การแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation)
การแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า คือการเคลื่อนที่ของคลื่นพลังงานที่มีทั้งไฟฟ้า และแม่เหล็ก เดินทางไปพร้อมกันในอวกาศ ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วแสง เมื่อรวมพลังงานทุกชนิดเข้าด้วยกัน เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า” (Electromagnetic Spectrum)
ตัวอย่างที่ใกล้ตัว
-
คลื่นวิทยุ และคลื่นไมโครเวฟ ที่ปล่อยออกจากเสาสัญญาณ
-
โทรศัพท์มือถือ, รถบังคับวิทยุ หรือวิทยุ ที่รับส่งข้อมูลผ่านคลื่นที่มองไม่เห็น
-
คลื่นเหล่านี้คือคลื่นวิทยุ (Radio Waves) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า อยู่ในกลุ่มเดียวกับแสงที่ตามนุษย์มองเห็นได้
คลื่นวิทยุไม่ได้เป็นอันตราย แต่กลับมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการสื่อสารระยะไกล
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field)
คำว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) หรือสนามคลื่นวิทยุ (RF Field) ใช้เรียกพลังงานที่แผ่ออกมา โดยจะมี 2 ส่วนเสมอ:
-
สนามไฟฟ้า (Electric Field)
-
สนามแม่เหล็ก (Magnetic Field)
วิธีการส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ
-
เสาส่งสัญญาณ (Transmitting Antenna) จะปล่อยคลื่นออกไปที่ความถี่หนึ่ง
-
เสารับสัญญาณ (Receiving Antenna) จะรับคลื่นนั้น แล้วแปลงข้อมูลให้กลายเป็นเสียงหรือข้อมูลอื่น ๆ
ร่างกายมนุษย์สามารถดูดซับคลื่นวิทยุได้จริง เนื่องจากร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมีคุณสมบัติการดูดซับความถี่คลื่นบางช่วงได้อย่างชัดเจน หมายความว่า คลื่นวิทยุบางย่านจะถูกดูดซับบางส่วนเมื่อผ่านร่างกายเรา
การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless Communication)
เทคโนโลยีไร้สาย เช่น วิทยุ, โทรศัพท์มือถือ หรือ Wi-Fi ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อส่งสัญญาณข้อมูลข้ามระยะทางไกล
ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่อสสาร
คลื่นในแต่ละช่วงความถี่ส่งผลต่อสสารต่างกัน เช่น
-
คลื่นวิทยุความถี่ต่ำ → ร่างกายมนุษย์ “โปร่งใส” ต่อคลื่นเหล่านี้ จึงสามารถทะลุผ่านกำแพงหรือร่างกายได้ง่าย (เช่น การฟังวิทยุพกพาในบ้าน ก็ยังรับสัญญาณได้ เพราะคลื่นผ่านทะลุกำแพงและร่างกายคนไปได้)
คลื่นวิทยุ (Radio Waves) vs คลื่นสมอง (Brain Waves)
-
คลื่นวิทยุ: เป็นส่วนหนึ่งของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่อยู่ประมาณ 50 – 1000 MHz (50 ล้าน – 1 พันล้านครั้งต่อวินาที)
-
คลื่นสมอง: สมองมนุษย์ก็ปล่อยคลื่นออกมาเช่นกัน โดยเกิดจากการที่นิวรอนนับพันยิงสัญญาณพร้อมกัน → แต่มีความถี่ช้ากว่ามาก อยู่ที่ประมาณ 10 – 100 Hz (รอบต่อวินาที)
ทั้งคลื่นวิทยุและคลื่นสมอง เป็นรูปแบบหนึ่งของ พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ความแตกต่างอยู่ที่ “ความถี่” ของการสั่น
ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ
ลองนึกถึงการโยนหินลงไปในสระน้ำ → คลื่นจะกระจายออกเป็นวง ๆ คลื่นสมองและคลื่นวิทยุก็ทำงานคล้ายกัน เพียงแต่ต่างกันที่ความเร็วและจำนวนครั้งที่คลื่นขึ้นลงใน 1 วินาที
จักรวาลและสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
1. จักรวาลคือระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
-
จักรวาลทั้งหมดทำงานอยู่บนพื้นฐานของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Fields, EMFs)
-
ทุกความถี่เชื่อมโยงและมีอิทธิพลต่อกัน ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Entrainment (การสั่นพ้อง)
-
บางคนอธิบายว่า พลังแม่เหล็กไฟฟ้านั้น ไร้ขอบเขตและไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหมายความว่า ทุกสิ่งล้วนส่งผลกระทบต่อกัน
2. สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของร่างกาย
-
ร่างกายมนุษย์ก็สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน
-
แหล่งกำเนิดที่ทรงพลังที่สุดคือ หัวใจ เมื่อเต้นแรงขึ้น ความถี่ก็เปลี่ยน และส่งผลไปถึง สมอง, เซลล์ และสะท้อนสู่จักรวาล
-
ดังนั้น อารมณ์และสภาวะจิตใจเราสามารถมีอิทธิพลต่อพลังงานรอบตัวได้จริง
3. สนามแม่เหล็กขนาดเล็กกับสุขภาพ
-
มนุษย์รู้จักใช้แม่เหล็กบรรเทาอาการเจ็บปวดมานาน แต่เพิ่งไม่นานมานี้ที่มีงานวิจัยยืนยันทางวิทยาศาสตร์
-
นักวิทยาศาสตร์อเมริกันพบว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่สั่นเป็นจังหวะ (weak pulsating EMFs)
→ ช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS)
→ ลดความเหนื่อยล้า และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
การทดลอง: ผู้ป่วย MS จำนวน 117 คน ได้รับการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ผลลัพธ์คือมีการเปลี่ยนแปลงในทางบวกต่อสุขภาพ
4. ธรรมชาติทางไฟฟ้าของชีวิต
-
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าทุกเซลล์มีธรรมชาติเป็นไฟฟ้า
-
การทำงานของเซลล์และระบบประสาทขึ้นกับ:
-
ไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
-
ไฟฟ้ากระแสตรงที่สั่นเป็นจังหวะ (pulsed DC)
-
-
เซลล์แต่ละเซลล์มีประจุ + (ที่นิวเคลียส) และประจุ – (ที่เยื่อหุ้มเซลล์) ความต่างประจุนี้ทำให้เซลล์ทำงานอย่างเป็นระบบและแข็งแรง
5. การฟื้นฟูพลังของเซลล์
เมื่อเซลล์เสื่อมลง ร่างกายจะส่งคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นจังหวะ จากสมอง ผ่านระบบประสาท → เพื่อชาร์จพลังให้เซลล์กลับมาแข็งแรง และเสริมสนามแม่เหล็กไฟฟ้าให้สมดุล
ความจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนกำลัง “ว่ายอยู่” ในมหาสมุทรของคลื่นวิทยุ (Radio Waves) รอบตัวตลอดเวลา ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
1. สมอง = เครื่องส่ง–รับคลื่นความถี่
-
สมองของมนุษย์ทำหน้าที่ทั้ง ส่งออก และ รับคลื่นความถี่
-
คล้ายกับวิทยุที่สามารถหมุนปุ่มเพื่อปรับคลื่นรับสถานีต่าง ๆ
-
Consciousness มีระดับ (scale) ที่เลื่อนได้ และเราสามารถสัมผัสได้หลายมิติ เช่น
-
การทำสมาธิ
-
ความฝันที่รู้ตัว (Lucid Dreaming)
-
การเดินทางทางจิต (Astral Travel)
-
คลื่นความถี่ที่ช่วยการพัฒนาตนเอง
-
2. Hacking Consciousness = การปลดล็อกจิตสำนึก
หากเราเข้าใจเรื่อง คลื่นสมอง และรู้จักสภาวะของมัน เราสามารถ “สำรวจและเลือกคลื่นความถี่อย่างตั้งใจ” ผลลัพธ์คือช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตได้หลายด้าน เช่น สมาธิ, ความคิดสร้างสรรค์ และสุขภาพจิตใจ การฝึกสมองให้เชี่ยวชาญก็เหมือนการที่นักกีฬาฝึกควบคุมร่างกายอย่างละเอียด → ช่วยให้เราพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ที่สำคัญคือสามารถปลดล็อกศักยภาพมหาศาลภายในตัวเรา
3. การใช้คลื่นเพื่อชีวิตประจำวัน
ปัจจุบัน เราสามารถส่งคลื่นความถี่ที่ช่วยผ่อนคลายให้ไหลเวียนไปทั่วบ้านหรือที่ทำงานได้ง่าย ๆ ด้วยต้นทุนต่ำ
4. Hypersonic Effect
สมองสามารถถูกกระทบจากคลื่นเสียงที่หูมนุษย์ไม่ได้ยินได้ คลื่นเสียงความถี่สูงเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Hypersonic Effect
ความถี่ชูมาน (Schumann Frequency)
1. สนามแม่เหล็กโลกและความเปลี่ยนแปลง
ไม่นานมานี้มีรายงานว่าขั้วแม่เหล็กโลกกำลัง เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ และ สนามแม่เหล็กกำลังอ่อนกำลังลง สิ่งนี้มีผลต่อสภาวะพลังงานที่ห่อหุ้มโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
2. ทำไมธรรมชาติทำให้เราสงบ?
คุณเคยรู้สึกสงบและมีความสุขมากขึ้นเวลาไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไกลจากความวุ่นวายในเมืองไหม? เหตุผลไม่ใช่แค่เพราะหลีกหนีความวุ่นวาย แต่เป็นเพราะ ร่างกายสามารถ “ปรับจูน” เข้ากับความถี่ของโลก ได้โดยตรง → ส่งผลให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความถี่เรโซแนนซ์ชีวภาพที่เหมาะสม (Optimum Biological Frequency Resonance -OBFR)
งานวิจัยด้านชีวฟิสิกส์ระบุว่า ระบบชีวภาพของเรา “ถูกตั้งค่า” ให้สอดคล้องกับ คลื่นชูมาน (Schumann Resonance)
-
เป็นความถี่พื้นหลังของโลก
-
มีค่าอยู่ที่ 7.83 Hz
-
พบว่าเป็น จังหวะคลื่นสมองหลักของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แต่ปัญหาคือ เมื่อความถี่ธรรมชาตินี้ถูกกลบด้วย คลื่นรบกวนจากเทคโนโลยี จะส่งผลเสียโดยตรงต่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถส่งความถี่ชูมานให้ไหลเวียนภายในบ้านได้แล้ว
4. ความถี่ 432 Hz – เสียงแห่งจักรวาล
เวลาออกไปชนบท คุณอาจรู้สึกเหมือน “ได้ชาร์จพลัง” จากเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนก, เสียงกบ เสียงสายน้ำ เสียงเหล่านี้มีการสั่นที่ใกล้เคียงกับ 432 Hz ซึ่งถูกเรียกว่า ความถี่แห่งจักรวาล
-
ความถี่นี้ถูกใช้ในการเยียวยาและพิธีกรรมทางจิตวิญญาณมาอย่างยาวนาน
-
ชามาน, ศาสนาโบราณ, พิธีอายาฮัวสกา (Ayahuasca)
-
ขันทิเบต (Tibetan Singing Bowl) และเครื่องดนตรีโบราณต่าง ๆ ก็ตั้งเสียงตามความถี่นี้
ความถี่โซลฟิจโจโบราณ (The Ancient Solfeggio Frequencies)
1. ที่มาและการค้นพบใหม่
-
ความถี่โซลฟิจโจ เป็น ความถี่ดั้งเดิม ที่ถูกใช้ในบทสวดเกรกอเรียน (Gregorian Chants) เช่น เพลงสรรเสริญนักบุญยอห์น แบ๊บติสต์
-
เชื่อกันว่าเสียงสวดเหล่านี้สามารถมอบ พลังการเยียวยาและพรทางจิตวิญญาณ แก่ผู้ที่เข้าร่วมพิธี
-
ความถี่เหล่านี้หายสาบสูญไปหลายศตวรรษ ก่อนที่จะถูกค้นพบใหม่โดย ดร. Joseph Puleo และถูกนำมาเผยแพร่ในหนังสือ Healing Codes For the Biological Apocalypse โดย ดร. Leonard Horowitz
2. ความเชื่อมโยงกับ DNA และการบำบัด
-
ความสนใจในเรื่อง DNA Activation (การกระตุ้น DNA) ทำให้เกิดการศึกษาเกี่ยวกับการใช้เสียงและความถี่เฉพาะเพื่อกระตุ้นการทำงานของ DNA
-
มีรายงานว่านักชีวเคมีใช้ความถี่ 528 Hz เพื่อ ซ่อมแซม DNA ของมนุษย์
-
เดิมทีคิดว่าสามารถเล่นโน้ตดนตรี “C” บนเครื่องดนตรีใดก็ได้เพื่อสร้างความถี่นี้ แต่ความจริงไม่ตรงกัน
-
โน้ต C ในระบบดนตรีตะวันตกปัจจุบันมีความถี่ 512 Hz ไม่ใช่ 528 Hz
-
ความถี่ 528 Hz มาจาก สเกลโซลฟิจโจโบราณ (Solfeggio Scale) ที่มีการปรับจูนเสียง (tuning) แตกต่างจากระบบดนตรีสมัยใหม่
3. ความถี่หลักทั้ง 6 ของโซลฟิจโจ
-
UT – 396 Hz → ปลดปล่อยความรู้สึกผิดและความกลัว
-
RE – 417 Hz → แก้ไขสถานการณ์ / ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง
-
MI – 528 Hz → การเปลี่ยนแปลง / ปาฏิหาริย์ (การซ่อมแซม DNA)
-
FA – 639 Hz → การเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ ความรัก
-
SOL – 741 Hz → การปลุกสัญชาตญาณ (Intuition)
-
LA – 852 Hz → การกลับคืนสู่ความสมดุลทางจิตวิญญาณ
หมายเหตุ: ในสเกลโซลฟิจโจโบราณ จะ ไม่มีโน้ต Ti และ “Do” ในปัจจุบัน เดิมทีถูกเรียกว่า “Ut”
สรุปสั้น ๆ
ความถี่โซลฟิจโจคือ คลื่นเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่เคยถูกใช้ในพิธีกรรมโบราณ และปัจจุบันถูกนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งในงานด้านการเยียวยา จิตวิญญาณ และแม้กระทั่งการวิจัยด้าน DNA โดยเฉพาะ 528 Hz ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ความถี่แห่งปาฏิหาริย์