ความเป็นพิษของปรอท ทำให้เกิดมะเร็ง และออทิสติกจริงหรือ?

ความเป็นพิษของปรอท ทำให้เกิดมะเร็ง และออทิสติกจริงหรือ?

แปลจากบทความ Mercury Toxicity Causes Cancer and Autism?

 

         สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาคือ   มีเหตุผลหรือไม่ ที่จะคาดหวังให้สื่อองค์กร หรือ Google บอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับเรา          โลกแบ่งตามวิธีที่คุณตอบคำถามนี้   คุณเชื่อ และไว้วางใจ  หรือไม่เชื่อ    17 ปีที่แล้ว  ผมเขียนหนังสือเรื่อง The Terror of Pediatric Medicine     และอีกไม่กี่ปีต่อมา ผมเขียน The Rising Tide of Mercury    แม้ว่าผมจะพยายามอย่างมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา   เรื่องราวของวัคซีนก็แย่ลงเรื่อยๆ    นอกจากนี้ มลภาวะมหาศาลของปรอท ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างสูงในสิ่งแวดล้อม   ในตอนนี้ก็แย่ลงไปอีกเช่นกัน

         สมมติว่า คุณเชื่อว่ากระแสหลักของชีวิตถูกต้องในทุกสิ่ง    ในกรณีนี้    คุณสามารถข้ามบทความนี้ไปเลย  และเสี่ยงที่คุณจะเป็นโรคทางระบบประสาท, เบาหวาน, มะเร็ง  หรือให้ลูกของคุณเป็นโรคออทิซึม    แม้ว่าวัคซีนโควิด-19 ไม่มีสารปรอท   แต่กระบวนทัศน์แบบเดียวกันก็แสดงให้เห็น   และผู้คนก็ยอมตายเพื่อมัน

 

ทันตแพทย์ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน

         ทันตแพทย์ไม่ได้แสดงความเมตตาในเรื่องนี้  โดยทำการอุดฟันที่มีสารปรอท  ห่างจากสมองของผู้ป่วยไม่กี่นิ้ว  ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา    การอาศัยอยู่ใต้ลมของโรงไฟฟ้าถ่านหิน, เมรุเผาศพ และเตาเผาขยะในเขตเทศบาลนั้น  ไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน   เนื่องจากพวกมันสร้างมลพิษอย่างหนักแก่พื้นที่  ในพื้นที่ระหว่าง 80.5 –161 กิโลเมตร     แม้ว่า ณ จุดนี้ แทบไม่สร้างความแตกต่าง  เนื่องจากเราได้ปนเปื้อนปรอทไปทั่วทั้งโลก    แค่ปรอทเท่าหัวเข็มหมุดเล็กๆ  ก็สร้างมลพิษให้กับทะเลสาบเล็กๆ ได้   ลองนึกภาพว่า 20 ถึง 30 ตันต่อวัน  ว่ามันจะทำความเสียหายขนาดไหน

         นักวิจัยกล่าวว่า "ผลกระทบทางชีววิทยาของโลหะหนัก  เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีของโลหะ ซึ่งบ่งชี้ว่า  การได้รับโลหะหนักมากเกินไป  อาจทำให้สมองผิดปกติได้ทั่วโลก"

         ความสัมพันธ์ของปรอทกับโรคเรื้อรัง  ได้รับการบันทึกไว้อย่างดีในเอกสารทางวิทยาศาสตร์    การค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างปรอท และโรคหลอดเลือดหัวใจ  เผยให้เห็นเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 358 ฉบับที่เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์    ระหว่างปรอท และมะเร็ง เราพบเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 643 ฉบับ    ความสัมพันธ์ของปรอทกับโรคทางระบบประสาทมีความสำคัญมากที่สุด โดยมีเอกสารทางวิทยาศาสตร์ถึง 1,445 ฉบับ [1]

 

         ในเดือนกันยายนปี 2020   องค์การอาหารและยา (FDA) พบว่า  บางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายของไอปรอทที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์    ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานจึงแนะนำกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงบางกลุ่ม  ให้หลีกเลี่ยงการอุดฟันด้วยวัสดุอะมัลกัม

 

         กลุ่มที่อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายของปรอท ได้แก่:

 

  • หญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์
  • ผู้หญิงที่กำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์
  • ผู้หญิงที่กำลังให้นมลูก และทารกแรกเกิด
  • เด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบ
  • ผู้ที่เป็นโรคทางระบบประสาทที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis), โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคพาร์กินสัน
  • ผู้ที่มีภาวะไตบกพร่อง
  • ผู้ที่มีอาการแพ้สารปรอท หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของอะมัลกัม

 

           ทันตแพทย์ที่สมาคมทันตกรรมอเมริกัน (the American Dental Association-ADA) ได้ยืนยันจุดยืนของตนอีกครั้งว่า อะมัลกัมเป็นวัสดุบูรณะที่ "ทนทาน ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ"            เพื่อตอบสนองต่อคำแถลงของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 กันยายน ว่า  หลักฐานที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่า อะมัลกัมทางทันตกรรมไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป

 

         เราจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับองค์กรที่สามารถบิดเบือนคำเตือนของ FDA เพื่อเตือนประชาชนส่วนใหญ่เกี่ยวกับอะมัลกัม  เพื่อยืนยันถึงความปลอดภัยของพวกเขา?         มีเด็กหลายล้านคนที่อยู่ในกลุ่มข้างต้น   และเมื่อคุณพิจารณาว่า ทุกคนมีความไวต่อสารพิษเช่นปรอท    ไม่มีคำอธิบายใดที่จะอธิบายการแก้ต่างอะมัลกัมของพวกเขาได้

         Tracy Gregoire แห่งสมาคมผู้พิการทางการเรียนรู้แห่งอเมริกา (the Learning Disabilities Association of America) กล่าวว่า  แม้การได้รับสารพิษต่อระบบประสาท (neurotoxin) เพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ไม่ถูกต้องของพัฒนาการ  ก็อาจส่งผลกระทบไปตลอดชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทารกในครรภ์และเด็กเล็ก    "มีทางเลือกอื่นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ปลอดภัยกว่าอะมัลกัม   ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารพิษต่อระบบประสาท เช่น ปรอทในอะมัลกัมที่สามารถป้องกันได้

ปรอทและมะเร็ง

 

         ปรอททำให้ภูมิคุ้มกันลดลง   ปรอทยังทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (auto-immune diseases)    อะไรก็ตามที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และรบกวนระบบภูมิคุ้มกัน  จะเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็ง    ปรอทจับกับเฮโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่ในการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อซึ่งส่งผลให้ออกซิเจนไปถึงเนื้อเยื่อน้อยลง

         ดร.ลาร์ส ฟรีเบิร์ก หัวหน้าที่ปรึกษาของ WHO ด้านความปลอดภัยของสารปรอท กล่าวว่า   "ไม่มีระดับปรอทที่ปลอดภัย  และไม่มีใครแสดงให้เห็นว่า มีระดับที่ปลอดภัยจริง”    จากการสังเกตการณ์ของ Yoshiaki Omura, MD  นักวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พบว่า    เซลล์มะเร็งทั้งหมดมีสารปรอทอยู่    การสังเกตทางคลินิกของ Dr. Omura สรุปได้ว่า  สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ  เป็นเพราะปรอทที่ตกค้าง จะกระตุ้นสภาพแวดล้อมทางพยาธิสภาพ  แม้หลังการผ่าตัด, เคมีบำบัด และการฉายรังสีก็ตาม

 

โลหะหนัก จะไปอุดตันบริเวณตัวรับ (receptor sites)   ทำลาย และงอพันธะกำมะถัน (sulfur bonds)  ในเอ็นไซม์ที่สำคัญ เช่น อินซูลิน   ทำลาย DNA   และโดยทั่วไป  ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องการมีชีวิตที่แข็งแรง

 

             ในปี พ.ศ. 2549  American Chemical Society ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเมทิลเมอร์คิวรี  ทำให้เกิดการตาย และความผิดปกติของเซลล์ตับอ่อน [2]      ในผู้ป่วยเบาหวาน   ปรอท มีผลอย่างมากต่อเบต้าเซลล์, อินซูลิน และไซต์ตัวรับอินซูลิน (the insulin receptor sites) ซึ่งทำให้เกิดการรบกวนที่ซับซ้อนมากมายในเมตาบอลิซึมของกลูโคส    MeHg (เมทิลเมอร์คิวรี) กระตุ้นการผลิต ROS, ยับยั้งการหลั่งอินซูลิน และกระตุ้นการตายของ cell-derived HIT-T15 cellsและ isolated mouse pancreatic islets

 

 

การรักษา

 

         ดร. บอยด์ เฮลีย์ อดีตประธานภาควิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ ผู้มีชื่อเสียง  ได้เตือนเราเกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารปรอทเป็นเวลากว่าทศวรรษครึ่งแล้ว                Haley’s chelator NBMI นั้นน่าประหลาดใจ  และควรอยู่ใกล้ด้านบนสุดของโปรโตคอลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และระบบประสาท (คิดถึงโรคออทิสติก, อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน) และสำหรับใครก็ตามที่มีวัสดุอุดฟันที่มีสารปรอทอยู่ในปาก  รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ใต้ลมของโรงไฟฟ้าถ่านหิน, เตาเผาขยะในเมือง และเมรุเผาศพ                NBMI ทะลุผ่าน the blood-brain barrier   และจะดึงโลหะหนักออกจากสมอง, กระดูก และเนื้อเยื่ออื่นๆ

 

 

 

ปรอทและไวรัส

 

         พวกเราส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า "การได้รับสารปรอทเรื้อรัง  เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของเรา  และทำให้เราเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่า "การได้รับสารปรอทในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (หนูขาว) เป็นเวลานาน (0.008 – 0.02 มก.) /m3) นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในความอ่อนแอของหนู ต่อสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ก่อโรค    ซึ่งแสดงให้เห็นโดยการติดเชื้อที่รุนแรงกว่า    ในกลุ่มทดลอง มีหนูตายมากขึ้น (86 – 90.3 %) มากกว่าในสัตว์ที่ไม่ได้รับสารปรอท (60.2 – 68 %)    นอกจากนี้ กลุ่มทดลองตายเร็วขึ้น    ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญอยู่ที่ลักษณะ และระดับของโรคปอดบวมในสัตว์ที่ได้รับผลกระทบ” ดร. ไอ. เอ็ม. แทรคเทนแบร์กิน Chronic Effects of Mercury on Organisms กล่าว

 

 สารพิษจากไทออล (Thiol) โดยเฉพาะปรอท (mercury) และสารประกอบของมัน  ทำปฏิกิริยากับกลุ่ม SH ของโปรตีน  นำไปสู่การทำงานที่ลดลงของเอนไซม์ต่างๆ ที่มีหมู่ซัลไฟดริล (sulfhydryl groups)   ซึ่งทำให้เกิดการหยุดชะงักอย่างมากมายในการทำงานของอวัยวะ และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย'

ศาสตราจารย์ I.M. Trakhtenberg

ปรอทและวัคซีน

         คนที่มีความคิดปกติ  ใครจะไปไว้วางใจองค์กรที่จะฉีดสารปรอทที่เป็นพิษสูงในทารก?    ผมกำลังพูดถึง CDC และ AAP (สมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา-American Association of Pediatrics)

         ปรอทเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะการปนเปื้อนของสารปรอททำให้เกิดโรค    มันทำให้เกิดอันตราย  และผู้ที่ปฏิเสธมัน  จะก่อให้เกิดความเสียหาย, ความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น    เราสามารถติดป้ายชื่อบุคคล และองค์กร ที่ปฏิเสธความเป็นพิษต่อระบบประสาทของปรอท  ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายด้านเภสัชกรรมและการแพทย์ที่ร้ายแรงที่สุด    Google รักคนเหล่านี้  และให้ความสำคัญกับพวกเขาเป็นอันดับแรกในผลการค้นหา

              อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเราไว้วางใจองค์กรก่อการร้ายดังกล่าว ไว้กับชีวิตของลูกหลานของเรา อันดับบนสุดของรายการคือ ศูนย์ควบคุมโรค CDC (the Centers for Disease Control)  ซึ่งในปี 2547  ได้จดสิทธิบัตร และเริ่มส่งเสริมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับเด็ก  โดยเริ่มอายุ 6 เดือน  และทุกปีหลังจากนั้น    ผู้ใหญ่ทุกคนจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี ตามรายงานของ CDC    วัคซีนไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ (แต่ไม่ทั้งหมด) ตลอดหลายปีที่ผ่านมามี Thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอทอินทรีย์ร้อยละ 50 โดยน้ำหนัก

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในขวด multi-dose vials  มีฟอร์มาลดีไฮด์และ Thimerosal เล็กน้อย ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีปรอท    อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และผ่านกระบวนการตามธรรมชาติในร่างกาย      และไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ - รอยเตอร์

การบอกว่าปลอดภัย  ไม่ได้ทำให้พวกมันปลอดภัย   และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ  หรือแม้แต่ความหมายที่จะบอกว่าพวกมันผ่านกระบวนการตามธรรมชาติในร่างกาย

 

         บทวิจารณ์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatric Health, Medicine and Therapeutics ฉบับเดือนกันยายน 2020   ศึกษาการศึกษา 18 ชิ้น ที่ดำเนินการระหว่างปี 1982 ถึง 2019  ที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของทองแดง, ตะกั่ว หรือปรอทในเลือด, พลาสมา, ผม หรือเล็บ และความชุกของ ออทิสติก    ในขณะที่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างออทิสติก และความเข้มข้นของทองแดง   แต่ปรอทและตะกั่วมีความสัมพันธ์สูง[3]    แต่คุณสามารถไปที่ Google และดู URL นับร้อยที่บอกคุณว่าสารปรอทมีความปลอดภัยเพียงใด    และแน่นอนว่า พนักงานขาย the flu shot ที่เก่งที่สุดในโลก           ดร.แอนโธนี่ เฟาซี  ไม่ได้เตือนใครเกี่ยวกับสิ่งที่ flu shots ประจำปี สามารถทำอะไรกับทารกหรือผู้ใหญ่ได้

         เป็นที่รู้กันว่า  เฟาซี ได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี       เนื่องจากปรอทเป็นพิษต่อระบบประสาท ผมคิดว่า มันอธิบายพฤติกรรม และคำแนะนำที่ไม่แน่นอนของเขาได้มากมายตลอดการระบาดใหญ่นี้    โชคดีที่ปีนี้  the flu shots ส่วนใหญ่  ไม่มี Thimerosal อยู่ในนั้น

         

         เราควรจำไว้ว่า  พวกเขาใส่ปรอทลงในวัคซีนตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930    มันเป็นบริษัทอเมริกันชื่อ Eli Lilly ผู้พัฒนา Thimerosal   และสนับสนุนการใช้สารนี้ มาหลายสิบปี  แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันอันตรายตั้งแต่เริ่มแรก  หลังจากที่ทุกคนในการศึกษาทางการแพทย์ครั้งแรกเสียชีวิต    ปรอทสามารถทำลายสุขภาพของใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก  ด้วยความที่มันเป็นโลหะหนัก และเป็นพิษต่อระบบประสาท

         ดร.เดวิด บราวน์สตีน เขียนว่า  "กว่า 20 ปีที่ผมได้เขียน และบรรยายเกี่ยวกับวิธีการที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ล้มเหลวในเกือบทุกคนที่ได้รับวัคซีน"    ตอนนี้เขาพูดว่า  "ทำไมทุกคนควรจะได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในเมื่อล้มเหลว 99%  ในผู้ที่ได้รับวัคซีน   ทำไมแพทย์ถึงให้การรักษา ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ซึ่งล้มเหลว 99%  ในผู้ที่ได้รับ    เหตุใดบุคลากรทางการแพทย์ ถูกบังคับให้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เมื่อมีการแสดงอย่างสม่ำเสมอว่าล้มเหลวเกือบ 99% ในผู้ที่ได้รับ   และไม่มีการศึกษาที่ทำได้ดีแม้เพียงสักชิ้นเดียว  ที่แสดงให้เห็นว่า การให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ จะป้องกันการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่"[ 6]

         Dr. Len Horowitz เขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า   "คำโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาคือ  วัคซีนปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ"    เราไม่ได้อ่านข้อมูลประเภทนี้อีกต่อไป  เพราะข้อมูลทั้งหมดถูกเซ็นเซอร์  เพียงไปที่ Facebook ใด ๆ ที่พูดถึงข้อเสียใดๆเกี่ยวกับวัคซีน   แล้วคุณจะเห็นพื้นที่ที่มีป้ายกำกับซึ่งระบุข้อเท็จจริงนั้นด้วยการเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่พูดถึงข้อดีของวัคซีน

[1] Buttar, Rashid. Autism Spectrum Disorders: An Update of Federal Government Initiatives and Revolutionary New Treatments of Neurodevelopmental Diseases US Congressional Sub-Committee Hearing, May 6, 2004

[2] Ya Wen Chen, Chun Fa Huang, Keh Sung Tsai, Rong Sen Yang, Cheng Chieh Yen, Ching Yao Yang,# Shoei Yn Lin-Shiau, and Shing Hwa Liu. Chem. Res. Toxicol., 19 (8), 1080 -1085, 2006. Institute of Toxicology, Department of Laboratory Medicine, and Department of Orthopaedics, College of Medicine, National Taiwan University, Taipei, Taiwan, and Departments of Traumatology, Surgery, and Emergency Medicine, National Taiwan University Hospital, Taiwan

[4] Sustaining Dr. Brownstein is Cochrane, which is a global independent network of researchers in more than 130 countries who strive to produce credible, accessible health information that is free from commercial sponsorship and other conflicts of illness.

https://www.cochrane.org/CD001269/ARI_vaccines-prevent-influenza-healthy-adults

“On February 1, 2018, the Cochrane group released its latest findings on the flu vaccine. The scientists studied randomized, controlled trials comparing the flu vaccine with placebo or no intervention. They included 52 clinical trials of over 80,000 people assessing the safety and effectiveness of flu vaccines in healthy adults. The studies were conducted between 1969 and 2009.

The authors found that flu vaccines probably reduced influenzas in healthy adults from 2.3% without vaccination to 0.9% with. That means that the difference between the vaccinated and the unvaccinated is 1.4% or 0.014. Therefore, 71 people would need to be treated with the flu vaccine to prevent one case (1/1.4%). In other words, the flu vaccine did nothing for 70 out of 71 who received it. That means this study found the flu vaccine failed 99% (71/72).

[5] https://www.cochrane.org/CD001269/ARI_vaccines-prevent-influenza-healthy-adults