สมดุลจักระ

         จักระเป็นภาษาสันสกฤต ที่มีความหมายตามตัวอักษรว่า "วงล้อ (wheel)"    จักระ  เชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมที่รับ, ดูดซึม และแสดงออกถึงพลังแห่งชีวิต (life force energy)    คำว่าจักระ  แปลตามตัวอักษรว่า ล้อ หรือดิสก์  และหมายถึงทรงกลมที่หมุน (a spinning sphere) ของกิจกรรมพลังงานชีวภาพ (bioenergetic activity) ที่ออกมาจากปมประสาท (nerve ganglia) หลัก ซึ่งแตกแขนงออกจากกระดูกสันหลัง    โดยทั่วไปแล้ว วงล้อทั้ง 7 เหล่านี้  ถูกอธิบายไว้ว่า เรียงซ้อนกันเป็นเสาพลังงานตั้งแต่ฐานของกระดูกสันหลังไปจนถึงส่วนบนสุดของศีรษะ    จักระสำคัญทั้ง 7 นี้  สัมพันธ์กับสภาวะพื้นฐานของจิต (consciousness)
         เชื่อว่าจักระในกระดูกสันหลังของคุณ  มีอิทธิพล  หรือแม้กระทั่งควบคุมการทำงานของร่างกายใกล้ๆบริเวณนั้นของกระดูกสันหลัง    แต่เนื่องจากการชันสูตรพลิกศพก็ไม่สามารถเปิดเผยให้เห็นจักระ   คนส่วนใหญ่จึงคิดว่า  จักระเป็นเพียงจินตนาการ    ทว่าการมีอยู่ของจักระ  ได้รับการบันทึกไว้อย่างดีในศาสตร์ตะวันออก...

         ศาสตร์ลึกลับจำนวนหนึ่งพูดถึงพลังงานอันละเอียดอ่อน (subtle energies) ที่ไหลผ่านร่างกาย และระบุตำแหน่งเฉพาะของร่างกาย ว่าเป็นจุดศูนย์กลางที่ละเอียดอ่อน (subtle centres)     มีความคล้ายคลึงกันมากระหว่างระบบต่างๆ   แต่อย่างไรก็ตาม   ไม่มีศาสตร์ใดที่พัฒนาโดยแยกตัวออกไปต่างหาก    ศาสตร์ลึกลับของอินเดีย  มีการติดต่อกับศาสตร์ลึกลับของจีนและอิสลาม และพวกมันอาจมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน    ในทำนองเดียวกัน ศาสตร์ลึกลับของชาวยิวและอิสลาม  ก็มีส่วนร่วมกันอย่างมาก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อิสลามยึดครองสเปน   และโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตร์เวทย์มนต์ของชาวยิว  มีอิทธิพลเหนือศาสตร์เวทย์มนต์ของคริสเตียน 
ชี่กง (Qigong), ตันเถียนชี่กง (the DantianQigong) ก็ยังอาศัยแบบจำลอง
ที่คล้ายคลึงกันกับร่างกายมนุษย์ เป็นระบบพลังงาน ยกเว้นว่า มันเกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของพลังงานชี่ (qi, ki, chi) พลังงาน Qi เทียบเท่ากับฮินดูปราน่า (the Hindu Prana) ไหลผ่านช่องทางของพลังงานที่เรียกว่าเส้นเมอริเดียน ซึ่งเทียบเท่ากับนาดิส (the nadis) แต่พลังงานอื่นๆ อีก 2 พลังงานก็มีความสำคัญเช่นกัน คือ จิง (Jing) พลังงานทางเพศ และเซิน (Shen) หรือพลังงานจิตวิญญาณ (spirit energy)

         ในวงจรหลักของ Qi ที่เรียกว่า Microcosmic orbit   พลังงานจะวิ่งขึ้นไปตามเส้นเมริเดียนหลักตามแนวกระดูกสันหลัง   และไหลกลับมาที่ลำตัวด้านหน้าด้วย    ตลอดวงจรของมัน   มันจะเข้าสู่ตันเถียน (dantians) ต่างๆ (elixir fields, sea of qi" หรือเรียกง่ายๆว่า "energy center) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเตาหลอม ซึ่งพลังงานในร่างกายประเภทต่างๆ (จิง {jing}, ฉี {qi} และเซิน {shen}) ได้รับการขัดเกลาขึ้นเรื่อยๆ    ตันเถียน (dantians) เหล่านี้มีบทบาทคล้ายกับจักระมาก    จำนวนจุดตันเถียนจะแตกต่างกันไปตามระบบต่างๆ   the navel dantian เป็นที่รู้จักมากที่สุด (เรียกว่า Hara ในญี่ปุ่น)    แต่โดยปกติแล้วจะมี Dantian อยู่ที่หัวใจและระหว่างคิ้ว    ตันเถียนล่าง (The lower dantian) หรือใต้สะดือ  เปลี่ยน sexual essence หรือจิง (jing)  ให้เป็นพลังงานฉี (qi)    จุดตันเถียนกลาง (The middle dantian) ที่อยู่ตรงกลางหน้าอก  จะเปลี่ยนพลังงานฉี (qi) เป็นเซิน (shen) หรือวิญญาณ (spirit)  และจุดตันเถียนบน (the higher dantian) ที่ระดับหน้าผาก (หรือที่ส่วนบนของศีรษะ) จะเปลี่ยน shen เป็นวูจิ (wuji)  พื้นที่ว่างเปล่าไร้ขอบเขต (infinite space of void)

 

         ในวัฒนธรรมตะวันตก แนวคิดที่คล้ายคลึงกับแนวคิดของพรานา (prana)  สามารถสืบย้อนไปถึง Franz Anton Mesmer แห่งศตวรรษที่ 18 ที่ใช้ "animal magnetism (แม่เหล็กแห่งสัตว์)" เพื่อรักษาโรค    อย่างไรก็ตาม ในปี 1927   ได้มี the shakta theory ของจักระหลักทั้ง 7 เกิดขึ้น  ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในตะวันตก   ส่วนใหญ่ผ่านการแปลจากตำราอินเดีย 2 ฉบับ ได้แก่ Sat-Cakra-Nirupana และ Padaka-Pancaka โดย เซอร์ จอห์น วูดรอฟฟ์ นามแฝง อาเธอร์ อวาลอน ในหนังสือชื่อ The Serpent Power     หนังสือเล่มนี้มีรายละเอียดมาก และซับซ้อนอย่างยิ่ง   และต่อมาได้พัฒนาแนวคิดให้เป็นมุมมองทางตะวันตกที่โดดเด่นของจักระโดย C.W. Leadbeater ในหนังสือของเขา The Chakras    หลายมุมมองที่ชี้นำให้ลีดบีเตอร์เข้าใจจักระ  ได้รับอิทธิพลจากผู้เขียนนักปรัชญาคนก่อนๆ โดยเฉพาะโยฮันน์ เกออร์ก กิชเทล   -ลูกศิษย์ของยาคอบ โบห์เม-   และหนังสือของเขา ธีโอสเฟีย แพรคติกา (1696) ซึ่งกิทช์เทลกล่าวถึง inner force centers โดยตรง แนวคิดที่ชวนให้นึกถึงจักระ

ดร.ฮิโรชิ โมโตยามะ
         “… เราอาจนิยามจักระเป็นศูนย์พลังงานที่หมุนเหมือนวงล้อและเปิดออกเหมือนดอกไม้    อย่างไรก็ตาม    Metaphysical concepts  ไม่ได้เป็นของโลกแห่งประสบการณ์ทางจิตวิญญาณล้วนๆ    การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์  ได้ยืนยันความเชื่อในสมัยโบราณในหลายกรณี
ดร.ฮิโรชิ โมโตยามะ เชื่อมโยงโลกแห่งวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณด้วย dual authority เขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักบวชชินโต (a Shinto priest) โมโตยามะ เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมระหว่างประเทศเพื่อศาสนาและ Parapsychology ในปี 1974 เขาได้รับการยอมรับจาก UNESCO [United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization] ให้เป็น 1 ใน 10 นักจิตศาสตร์ (parapsychologists) ชั้นแนวหน้าของโลก เขามีความสนใจเป็นพิเศษที่จะตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ของคำกล่าวอ้างโดยผู้เสนอการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ มีการทดลองที่สำคัญหลายอย่างภายใต้การอุปถัมภ์ของเขา เขาได้พัฒนาเครื่องมือจักระ (a Chakra Instrument) โดยเฉพาะ ซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้า, แม่เหล็ก และทางแสง ที่เกิดขึ้นในทันทีในสภาพแวดล้อมของผู้ทดลอง ในสถานการณ์การทดลองทั่วไป ผู้ทดลองนั่งอยู่ในห้องที่มีความปลอดภัยจากไฟฟ้าสถิต ซึ่งปูด้วยแผ่นอะลูมิเนียมภายใน และหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วที่ฝังอยู่ในผนัง อิเล็กโทรดทองแดงรูปร่างกลม และหลอดโฟโตอิเล็กทริก ถูกวางไว้ด้านหน้าร่างกาย ระดับเดียวกับตำแหน่งของจักระที่จะทดสอบ ในระหว่างการทดสอบหนึ่งครั้งที่บริเวณกึ่งกลางของกระเพาะอาหารและหัวใจ ผู้ถูกตรวจสอบจะได้รับการตรวจสอบเป็นเวลา 3 นาที ในแต่ละตำแหน่งทั้ง 2 มีการอ่านค่าที่ 1 นาที ก่อนถึง a state of concentration, ระหว่าง concentration และอีกครั้ง 1 นาที หลังจาก concentration น่าแปลกที่เมื่อทดสอบผู้ฝึกโยคะขั้นสูง ศูนย์ทั้ง 2 ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมาก ศูนย์กระเพาะอาหารไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมที่วัดได้ในช่วงระยะเวลาการตรวจสอบ 3 นาที อย่างไรก็ตาม ศูนย์หัวใจแสดงกิจกรรมที่วัดได้อย่างมากในช่วงที่มีสมาธิ ความแตกต่างนี้สอดคล้องกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณตามปกติของผู้ทดลอง เขา meditated on the heart centre เป็นประจำระหว่างการทำสมาธิ ตามปกติแล้ว ผู้ทดลองไม่ได้ใช้ the solar plexus chakra เป็นจุดโฟกัสสำหรับการทำสมาธิ เนื่องจากเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคทางเดินอาหารอย่างรุนแรง
         เมื่อทดสอบกับผู้เข้าทดลองอื่น   โมโตยามะพบว่า  กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นของจักระหัวใจเพียงพอที่จะสร้างเอฟเฟกต์ที่วัดได้  ซึ่งตรวจพบโดยเซลล์โฟโตอิเล็กทริก    กล่าวอีกนัยหนึ่ง  กิจกรรมของจักระหัวใจ  เพียงพอที่จะสร้างแสงทางกายภาพ  อ่อนๆ แต่สามารถวัดได้    นอกจากนี้ ผู้ถูกทดสอบยังถูกขอให้กดปุ่ม  เมื่อใดก็ตามที่เธอคิดว่าเธอประสบกับการปล่อยพลังงาน psi    ความรู้สึกส่วนตัวของผู้ทดลอง  สอดคล้องกับช่วงเวลาของกิจกรรมที่วัดได้    การทดลองในลักษณะนี้  ซึ่งดำเนินการกับผู้ทดลอง 100 คน   ทำให้โมโตยามะสรุปได้ว่า 'การจดจ่ออยู่กับจักระ  กระตุ้นมัน' [Motoyama, The Theories of the Chakras, p.274]"

Ozaniec, Naomi. (1999). Chakras for Beginners. Hodder & Stoughton Educational, London. ISBN 0 340 62082 X
 

สนามพลังงานของมนุษย์ (The human energy field)

         เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า  กิจกรรมของเซลล์และเนื้อเยื่อ  สร้างสนามไฟฟ้า ที่สามารถตรวจพบได้บนผิว    แต่กฎของฟิสิกส์บอกว่า  กระแสไฟฟ้า  สร้างสนามแม่เหล็กที่สอดคล้องกันในบริเวณโดยรอบ    เนื่องจากสนามเหล่านี้มีขนาดน้อยเกินไปที่จะตรวจจับได้   นักชีววิทยาจึงสันนิษฐานว่า  ไม่มีนัยสำคัญทางสรีรวิทยา   

         ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนไปในปี 1963    Gerhard Baule และ Richard McFee จาก Department of Electrical Engineering, Syracuse University, Syracuse, NY   ตรวจพบสนามแม่เหล็กชีวภาพ (the biomagnetic field) ที่ออกจากหัวใจมนุษย์    พวกเขาใช้ขดลวด 2 อัน แต่ละอันมีลวดพัน 2 ล้านรอบ   เชื่อมต่อกับแอมพลิฟายเออร์ที่มีความละเอียดอ่อน

         ในปี 1970   David Cohen จาก MIT   ใช้เครื่องวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก SQUID ยืนยันการวัดที่หัวใจ    ภายในปี 1972   โคเฮนได้ปรับปรุงความไวของเครื่องมือของเขา   ทำให้เขาสามารถวัดสนามแม่เหล็กรอบศีรษะที่เกิดจากกิจกรรมของสมองได้

         เกือบหนึ่งศตวรรษก่อน   รูดอล์ฟ สไตเนอร์ กล่าวว่า  การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 ก็คือ   หัวใจไม่ใช่เครื่องปั๊ม  แต่เป็นมากกว่านั้นมาก   และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติในอนาคตที่จะถึงนี้ก็คือ  การยอมให้หัวใจสอนให้เราคิดในรูปแบบใหม่    ฟังดูลึกลับอย่างยิ่ง   แต่เราพบว่ามันเป็นเรื่องทางชีววิทยาโดยตรง

 

         ต่อจากนั้น   ได้มีการค้นพบว่า  เนื้อเยื่อและอวัยวะทั้งหมดสร้างคลื่นแม่เหล็กที่จำเพาะ ซึ่งเรียกว่าสนามแม่เหล็กชีวภาพ (biomagnetic fields)    การบันทึกคลื่นไฟฟ้าแบบดั้งเดิม เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (the electrocardiogram) และคลื่นไฟฟ้าสมอง (electroencephalogram)   ปัจจุบันได้รับการเสริมด้วยการบันทึกทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่เรียกว่า  magnetocardiograms and magnetoencephalograms     ด้วยเหตุผลหลายประการ   การทำแผนที่สนามแม่เหล็กในพื้นที่รอบ ๆ ร่างกาย  มักจะให้การบ่งชี้ทางสรีรวิทยาและพยาธิวิทยาที่แม่นยำกว่าการวัดทางไฟฟ้าแบบเดิม

 

         หัวใจผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2.5 วัตต์ ในแต่ละจังหวะ   ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมือนกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าทั่วโลก    สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของหัวใจ  ล้อมรอบร่างกายในระยะ 12-25 ฟุต ออกไปด้านนอก   และห้อมล้อมคลื่นพลังงาน เช่น คลื่นวิทยุและคลื่นแสง ซึ่งประกอบด้วยแหล่งหลักของข้อมูลที่ร่างกายและสมองสร้าง neural conception และการรับรู้ของโลกนั่นเอง    นี่เป็นการยืนยันการวิจัยทุกประเภทจากผู้คนอย่างเช่น Karl Pribram  ในช่วงระยะเวลา 30 ปี   และเผยให้เห็นความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยเผชิญ
         ตัวอย่างเช่น   Roger Penrose ในอังกฤษ  เพิ่งคิดคณิตศาสตร์ใหม่เพื่อพิสูจน์ว่า  ที่ที่เดนไดรต์มาบรรจบกันที่ไซแนปส์ -ซึ่งคุณมีในร่างกายและสมองเป็นล้านล้านไซแนปส์- เป็น an electromagnetic aura    และเราพบว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของหัวใจ  สร้างสนามแบบโฮโลแกรม  เหมือนกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างโดยโลกและระบบสุริยะ    ตอนนี้ นักฟิสิกส์เริ่มมองว่า  the electro-magnetic auras เป็นเพียงการจัดโครงสร้างพลังงานในจักรวาล    ทั้งหมดนี้ทำงานแบบโฮโลแกรม นั่นคือ ในระดับที่เล็กที่สุด   เล็กอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างเดนไดรต์ที่ไซแนปส์, ร่างกาย, โลก และภายนอก    ทั้งหมดทำงานแบบโฮโลแกรมและ selectively

         จักระเป็น energy vortexes ที่ตั้งอยู่ทั่วร่างกาย   มีทั้งหมด 7 จักระ   และพวกมันไม่เพียงแต่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของคุณเท่านั้น   แต่ยังรวมถึงสุขภาพทางอารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณของคุณด้วย    แต่ละจักระมีความถี่เฉพาะของตัวเอง    เมื่อปฏิสัมพันธ์ของความถี่เหล่านี้มีความสมดุล   คุณจะรู้สึกสงบและกลมกลืนกับตนเองและผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์    เมื่อไม่สมดุล  ก็สามารถมีผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ    จักระที่ไม่สมดุล  ไม่สามารถเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายได้   สิ่งนี้สามารถส่งผลเสียต่อจิตใจและร่างกายของบุคคล    ความโกรธ, ซึมเศร้า, ท้องผูก, ขาดสมาธิ และขาดสมรรถภาพทางเพศ   เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของอาการที่เกิดจากระบบจักระที่ไม่สมดุล

 

         "เมื่อเราได้รับข่าวดีหรือข่าวร้ายมาก หัวใจของเราจะเต้นแรง   และในบางกรณี หัวใจวายก็อาจเกิดขึ้นได้    เราไม่เคยได้ยินหรือ ที่คนพูดว่า "หัวใจของฉันรู้สึกมีความสุข" หรือ "หัวใจของฉันเป็นทุกข์"   นี่หมายความว่าเรา กำลังแลกเปลี่ยนแรงสั่นสะเทือนผ่านจักระหัวใจของเรา
         ร่างกายของเราไม่รู้สึกแย่หรือ, เราไม่รู้สึกเจ็บปวดในช่องท้องหรอกหรือ  เมื่อเราอยู่ในบรรยากาศที่หนักหน่วง  หรืออยู่ในที่ที่มีคนคิดลบหรือไม่สอดคล้องกัน?    ในกรณีเหล่านี้ เรากำลังแลกเปลี่ยนการสั่นสะเทือนผ่านจักระบริเวณสะดือของเรา
         เมื่อเราส่งความคิดหรือไอเดีย   เรากำลังแลกเปลี่ยนการสั่นสะเทือนผ่านจักระมงกุฎของเรา”

 

         มีหลายสิ่งหลายอย่างที่รบกวนระบบจักระของเรา และทำให้ความถี่เหล่านี้ไม่สอดคล้องกัน   ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ, อุณหภูมิที่ลดลง หรือแม้แต่เหตุการณ์เครียดในที่ทำงาน    ความสมดุลของระบบจักระของเรานั้นเปราะบางมาก    กีตาร์ต้องการการจูนเสียงเป็นครั้งคราว  ระบบจักระของเราก็เช่นเดียวกัน
         แม้ว่าการมีอยู่ของจักระจะเป็นที่ยอมรับในตะวันออก   แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างง่ายดายทางตะวันตก    ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับการทักทายด้วยท่าทางงุนงงเมื่อเอ่ยถึงคำนั้น   ตามมาด้วยความสงสัยและดูถูกเหยียดหยามเมื่อพยายามอธิบายจุดประสงค์ของพวกมัน

“ทุกสิ่งในชีวิตคือการสั่นสะเทือน” - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

 

ศาสตราจารย์วาเลอรี ฮันท์
         " นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960   มีการพูดคุยกันบ้าง เกี่ยวกับการเพิ่มการสั่นสะเทือน   แม้ว่าวลีนี้อาจจะถูกใช้มากเกินไป  แต่ก็ไม่ควรละเลย    ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา   Valerie Hunt ศาสตราจารย์วิชา kinesiology [การศึกษาการเคลื่อนไหวของมนุษย์] ได้วัดเอาท์พุตแม่เหล็กไฟฟ้าของมนุษย์ภายใต้สภาวะต่างๆ โดยใช้ electro-myograth ซึ่งบันทึกกิจกรรมทางไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ    Hunt เช่นเดียวกับ Motoyama [Dr Hiroshi Motoyama นักวิทยาศาสตร์และนักบวชชินโต]   บันทึกการแผ่รังสีที่ออกจากร่างกายที่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับจักระ    จากการวิจัยของเธอ   เธอได้ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจว่า  จิต (consciousness) บางประเภท  เกี่ยวข้องกับความถี่บางอย่าง    
เธอพบว่า เมื่อจุดโฟกัสของจิตของบุคคลถูกตรึงอยู่ในโลกทางกายภาพ สนามพลังงานของพวกเขาจะอยู่ที่ความถี่ในช่วง 250 cps (cycles per second) ซึ่งใกล้เคียงกับความถี่ทางชีวภาพ (biological frequency) ของร่างกาย อย่างไรก็ตาม Active psychics and healers มีความถี่ในช่วงระหว่าง 400 ถึง 800 cps Trance specialists and chanellers มีความถี่ใน a narrow field of 800-900 cps แต่จาก 900 cps เป็นต้นไป Hunt เรียกว่า 'บุคลิกลึกลับ' ผู้ที่มีความรู้สึกมั่นคงในการเชื่อมต่อระหว่างจักรวาลกับทุกสิ่ง พวกเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง, มีพลังจิตและ healing abilities, สามารถเข้าสู่สภาวะภวังค์ลึกได้ แต่ได้ transcended and unified the separate experiences through a mystic, holistic, metaphysical philosophy"

Ozaniec, Naomi. (1999). Chakras for Beginners. Hodder & Stoughton Educational, London. ISBN 0 340 62082 X

การสั่นสะเทือนของจักระ

         แต่ละจักระ  มีความถี่ของการสั่น, สัญลักษณ์, สี และเสียงที่แตกต่างกันไป    เมื่อจักระมีความสมดุล, กระจ่างชัด และมีพลัง   มันจะประสานกัน  และเล่นเสียงที่วิเศษที่สุดของมันเอง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่เหมาะสมสำหรับจักระนั้น    หลายๆ อย่างสามารถส่งผลต่อการสั่นสะเทือนได้ เช่น เสียง, กลอง, ดนตรี, บทสวด, มนต์, พลังงานการสั่นสะเทือนของสี และแน่นอนอัญมณี    สีและเสียงทั้งหมดเป็นการสั่นสะเทือน  และการใช้เสียงและสีของจักระ  ช่วยให้พวกมันอยู่ในแนวเดียวกันและสมดุล    สีของจักระเป็นสีของรุ้ง   เริ่มต้นที่ the root chakra สีดำ/แดง, ส้ม, เหลือง, เขียว/ชมพู, ฟ้าอ่อน, คราม, และม่วง/ขาว สำหรับจักระที่ 7

         แต่ละจักระ  จะต้องสามารถทำงานได้ที่ความถี่ที่ถูกต้องอย่างอิสระ   แต่ละจักระ  ต้องมีความสมดุล, ชัดเจน, มีพลัง และหมุนอย่างเหมาะสม    ทุกครั้งที่จักระทั้งหมดถึงระดับที่พร้อมเพรียงกัน   การสั่นสะเทือนทางกายภาพทั้งหมดของร่างกายมนุษย์จะเพิ่มขึ้น

         ระบบจักระทำหน้าที่เป็นแผนที่ของความท้าทายด้านวิวัฒนาการ (Ballentine, 1999)    แต่ละจักระ  มีบทเรียนชีวิตทางจิตวิญญาณที่เราต้องเชี่ยวชาญ  ในการวิวัฒนาการของเราไปสู่จิต (consciousness) ที่สูงขึ้น    โดยสังเขป จักระแรก resonates กับบทเรียนชีวิตของการเอาชีวิตรอด    จักระที่ 2  เรื่องเพศและความคิดสร้างสรรค์    จักระที่ 3  อำนาจส่วนบุคคล, ความกล้าแสดงออก และความภาคภูมิใจในตนเอง    จักระที่ 4  ความรักและการให้อภัย    จักระที่ 5  การแสดงออกและเจตจำนง;    จักระที่ 6  สัญชาตญาณ, ปัญญา และความเชื่อ และจักระที่ 7   transcendence and presence (Myss, 1996; Eden, 1998)

ลองนึกถึงมาตราส่วนตั้งแต่ 1-10 โดยที่ 10 คือระดับสูงสุดและดีที่สุด ต่อไป ให้นึกถึงแต่ละจักระ ที่ต้องมีเลขเท่ากันในระดับนั้น เมื่อแต่ละจักระ มีจำนวนเลขเท่ากัน ร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณทั้งหมดของคุณ จะเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนใหม่เพื่อให้ตรงกับจักระ ยิ่งคุณทำงานพลังงานจักระมากเท่าไร ร่างกายของคุณก็จะยิ่งถูกยกสูงขึ้นให้อยู่ในระดับนั้นด้วย โดยการรู้แจ้ง = 10 ในขณะที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ทางกายภาพนี้

 

         มาร์ค โรเบิร์ต วัลด์แมน:   ทำไมคุณถึงเลือกใช้ระบบจักระอายุ 2,500 ปี เพื่อให้เข้าใจสุขภาพและความเจ็บป่วย   มากกว่าที่จะใช้  เช่น การฝังเข็มหรือการแพทย์แผนจีน?
         ดร.จอห์น เนลสัน:   แม้ว่าจะมีการเสนอแบบจำลองจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับ the various stages of consciousness  และการพัฒนาทางจิตวิญญาณ   แต่ก็มีความเห็นร่วมกันเพียงเล็กน้อยระหว่างแบบจำลองเหล่านั้น  เกี่ยวกับ stages เหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร   ดังนั้น เมื่อผมมาเจอคำสอน Tantric โบราณเกี่ยวกับจักระ   ผมพบว่ามันเป็นคำอุปมาในอุดมคติ  เพื่ออธิบายลักษณะที่เราขยาย consciousness ของเรา  ขณะที่เราก้าวหน้าไปในชีวิต    ผมรู้สึกยินดี  เพราะมันตรงกับสัญชาตญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของผม  ที่ได้มาจากการปฏิบัติทางจิตวิญญาณของผมเอง
         ทุกวันนี้ ระบบจักระยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญในการแพทย์แผนตะวันออกและจิตเวชศาสตร์ (psychiatry) สมัยใหม่   และถือเป็นศาสตร์ที่ "ชัดเจน" ในโรงเรียนแพทย์ในเอเชีย   มันเป็นส่วนสำคัญของการฝังเข็ม ซึ่งเป็น technique of healing ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทั่วโลก    ระดับจักระแต่ละระดับ  สะท้อนถึงขั้นตอนการพัฒนาที่สูงขึ้น  ในแง่ของความสัมพันธ์ส่วนตัว, จริยธรรม, ทัศนคติทางศาสนา และความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหล่านี้    นอกจากนี้ จักระยังสามารถแปลในแง่จิตวิทยา   เหมือนกับที่จุงทำ  เมื่อเขาเรียกพวกมันว่า "สัญชาตญาณเกี่ยว the psyche โดยรวม, เกี่ยวกับเงื่อนไขและความเป็นไปได้ต่างๆ ของจักระ"
         ดร. จอห์น เนลสัน  ได้รับการรับรองจาก American Board of Psychiatry and Neurology และเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตเวชในแคลิฟอร์เนียตอนใต้

 

         เมื่อบุคคลได้รับความทุกข์ทรมานจาก trauma   จักระตั้งแต่ 1 จักระขึ้นไป จะไม่สมดุล    สีของมันจะจางลงหรือมืดลง, จังหวะของพวกมันจะไม่แน่นอน, การอุดตันก่อตัวขึ้นในการไหลของพลังงานผ่านร่างกาย  และระดับสารเคมีจะไม่แน่นอน
         ตัวอย่างเช่น   เมื่อคุณกำลังจะสอบ คุณรู้สึกประหม่า  และ solar plexus chakra ของคุณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก  และอยู่ใต้กระดูกสันอก (sternum) ของคุณ จะถูกรบกวนและไม่สมดุล    Solar plexus เชื่อมโยงโดยตรงกับตับอ่อน   ดังนั้น  ภาวะที่ถูกรบกวนนี้  ส่งผลให้มีการปล่อยน้ำย่อยจากตับอ่อนเข้าสู่กระเพาะอาหารในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง   สารเคมีที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินี้  ทำให้ท้องของคุณรู้สึกไม่สบาย  และคุณอาจเริ่มรู้สึกไม่สบาย

 

Chakra Balance คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ
         "ความไม่สมดุล" ในจักระของคุณ  บางครั้งอาจชี้ไปที่ไอเดียที่ว่า  บางจักระทำงานมากเกินไป และบางจักระทำงานไม่เต็มที่    หลายคนที่ยังใหม่กับแนวคิดเรื่อง "การปรับสมดุลของจักระ" และ "Chakra healing"   จะเข้าใจผิดคิดว่า หมายถึง "การเปิดจักระ"    เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆในชีวิต   คำว่า "สมดุล"   คือไม่มากและไม่น้อยเกินไป    เนื่องจากจักระรับและส่งพลังงาน (ซึ่งเปลี่ยนไปสู่ พลังงานทางจิต, อารมณ์ และร่างกาย)   การมากเกินไป หรือน้อยเกินไป  อาจส่งผลต่อวิธีที่เราคิด กระทำ และรู้สึก

 

พยาธิวิทยาเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กชีวภาพ

         ในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930   Harold Saxon Burr นักวิจัยที่มีชื่อเสียงจาก Yale University School of Medicine ได้เสนอว่า  โรคต่างๆ สามารถตรวจพบได้ใน the energy field ของร่างกาย  ก่อนที่จะมีอาการทางกาย    นอกจากนี้   Burr ยังเชื่อมั่นว่า  โรคต่างๆ สามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนสนามพลังงาน

         แนวคิดเหล่านี้มาก่อนกาล   แต่ขณะนี้ได้รับการยืนยันในห้องปฏิบัติการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลก    นักวิทยาศาสตร์กำลังใช้เครื่องมือ SQUID เพื่อทำแผนที่ว่าโรคต่างๆ เปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กชีวภาพทั่วร่างกายอย่างไร    คนอื่นๆ กำลังใช้ pulsating magnetic fields  เพื่อกระตุ้นการรักษา    อีกครั้ง บุคคลที่มีความรู้สึกพิเศษ  ได้อธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

         เมื่อจักระทั้งหมดมีความสมดุล   พลังงานของร่างกายเราจะไหลผ่านจักระอย่างอิสระ โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง  และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

         จักระหลักทั้ง 7   เชื่อมต่อพลังงานของมัน กับเครือข่ายประสาท (nerve plexuses) หลักบนกระดูกสันหลัง, ต่อมต่างๆ ในระบบต่อมไร้ท่อ และระบบเฉพาะ    หากจักระถูกปิดกั้น ในที่สุดก็จะปรากฏในมิติทางกายภาพในรูปของความเจ็บป่วย (Brennan, 1987; Myss, 1996)

         "บางที  ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่สามารถตรวจพบจักระได้  เพราะพวกเขาดูไม่ถูกที่    ในปี 2007   แซนดร้า และ แมทธิว เบลคสลี  ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง The Body has a Mind of its Own    ในหนังสือเล่มนี้พวกเขาได้ติดตามประวัติศาสตร์ของ “แผนที่ร่างกาย (body maps)” ตั้งแต่สมัยของนักวิทยาศาสตร์ประสาท (neuro-scientist) -Alfred Penfield    ตามข้อมูลในหนังสือเล่มนี้   Penfield ประสบความสำเร็จในการระบุการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของสมองที่ควบคุมร่างกายของเรา   เขาเรียกร่างแผนที่ร่างกายนี้ว่า humunculus ซึ่งแปลว่า “ชายร่างเล็ก” ในภาษาลาติน    ความก้าวหน้าของประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience)  ได้นำไปสู่การค้นพบแผนที่ร่างกายภายในสมองมากขึ้นกว่าเดิม   ตอนนี้ เรามองร่างกายว่าเป็นกระจกเงาของ "ชายร่างเล็ก" ที่อยู่ชั้นบนสุด  ซึ่งอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ .
         ตอนนี้เรารู้แล้วว่าส่วนใดของสมองที่คิดถึงบางสิ่ง     The footprints of the psyche  สามารถสังเกตได้ในระหว่างการสแกนสมอง    ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสมองส่วนไหนสว่างขึ้น  เมื่อเรานึกถึงอาหาร, เพศ, ศาสนา หรือเพื่อนบ้านข้างบ้าน
         หากเราวางแผนภาพของจักระบนสมองของมนุษย์   เราจะพบการเข้ากันได้ที่น่าประหลาดใจ   ราวกับว่าจักระกำลังวิ่งลงมาตามชายร่างเล็กที่หมอบอยู่ในตำแหน่งของทารกในครรภ์ในกะโหลกศีรษะของเรา    ความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์คือ   ไม่เพียงแค่ส่วนต่างๆ ของสมอง สอดคล้องกับกระบวนการคิดของ the chakra groupings เท่านั้น   แต่ยังเป็นส่วนที่เทียบเท่าทางกายวิภาคของร่างกายมนุษย์อีกด้วย"

 

เพิ่มพลังจักระ

         พลังงานเป็นหัวข้อที่แทรกซึมเข้าไปในหลายด้านของ complementary health care   รวมทั้งเรกิ (Reiki)    ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์และทางอารมณ์   คำสำคัญ 2 คำ  ไม่ได้รับการกล่าวถึงในสังคมวิจัยเชิงวิชาการที่สุภาพ:   "พลังงาน" และ "สัมผัส"   ดังนั้น  จึงไม่น่าแปลกใจที่การบำบัดด้วยเรกิจะถูกละเลยโดยวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์กระแสหลัก

         จากการศึกษาหนึ่ง   เรกิผลิต "10 mGauss order bio-magnetic field strength จากฝ่ามือ" (PubMed, Seto A. et al.:   Detection of extraordinary large bio-magnetic field strength from human hand during external Qi emission)

 

         จักระที่ 4  เน้นย้ำบางสิ่งมากกว่านั้น ซึ่งก็คือความรักสากล (universal love)  ซึ่งชาวกรีกโบราณเรียกว่า "อากาเป (Agape)"  ซึ่งเป็นความรักที่มหัศจรรย์และไม่ครอบครอง   แตกต่างไปจากความโรแมนติกของจักระที่ 2 และ 3    ความรักในระดับนั้นมีลักษณะของการยั่วยวน และความหึงหวง, การครอบงำ และการพึ่งพาอาศัยกัน   และการยึดติดกับวัตถุในอุดมคติ    จุดมุ่งหมายของความรักในจักระที่ต่ำกว่าคือ การระงับความรู้สึกว่างเปล่า   แต่ที่จักระหัวใจ  จะรู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์ภายใน (inner abundance) ที่ saturates the self ด้วยความปรารถนาที่จะแบ่งปันอย่างอิสระ เพื่อประโยชน์ของทุกคน    บุคคลศักดิ์สิทธิ์เช่น แม่ชีเทเรซา, มหาตมะ คานธี และพระแม่มารี  เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของจิตในระดับของจักระหัวใจ

นพ. จอห์น เนลสัน

 

 

Projection of energy from the hands of healers

         ในช่วงต้นทศวรรษ 1980   ดร. จอห์น ซิมเมอร์แมน  เริ่มการศึกษาที่สำคัญหลายชุดเกี่ยวกับการสัมผัสเพื่อการรักษา (therapeutic touch) โดยใช้เครื่องวัดสนามแม่เหล็กแบบ SQUID (a SQUID magnetometer) ที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโคโลราโดในเดนเวอร์    ซิมเมอร์แมน ค้นพบว่า  สนามแม่เหล็กชีวภาพขนาดใหญ่ที่สั่นสะเทือน (a huge pulsating biomagnetic field)  ส่งออกมาจากมือของ a TT practitioner     ความถี่ของ the pulsations ไม่คงที่   แต่ "กวาด" ขึ้นและลง ระหว่าง 0.3 ถึง 30 Hz (รอบต่อวินาที)   โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 7-8 Hz       The biomagnetic pulsations จากมือนั้นอยู่ในช่วงความถี่เดียวกันกับคลื่นสมอง   และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความถี่ที่จำเป็นสำหรับการรักษานั้นบ่งชี้ว่า  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกวาดไปมาตามธรรมชาติตลอดช่วงความถี่การรักษาทั้งหมด   จึงสามารถกระตุ้นการรักษาในส่วนใดก็ได้ของร่างกาย.

         จักระแรกคล้ายกับสิ่งที่ฟรอยด์เรียกว่า  the oral stage of life (ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก)    ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่สำคัญ ภายหลังการปฏิสนธิ   รากฐานของความเป็นตัวของตัวเอง (the foundations of selfhood) ก่อตัวขึ้นภายในสิ่งที่เริ่มแรกเป็นสนามแห่งจิตสำนึกที่ไร้ขอบเขต (an unbounded field of consciousness) ซึ่งผมเรียกว่าเป็นพื้นฝ่ายวิญญาณ (the Spiritual Ground)     Consciousness มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง   และเด็กแรกเกิดจะอาศัยอยู่ในนั้น  ใน a state of blissful communion and unity     ความสนใจหลักในจิตขั้นนี้  คือความอยู่รอดและความเป็นปัจเจก    นักจิตวิทยาชาวตะวันตกเช่น Piaget, Mahler, Kohut และ Grof   ได้อธิบายขั้นตอนนี้อย่างละเอียด       ดร.จอห์น เนลสัน

 

         การยืนยันการค้นพบของซิมเมอร์แมนเกิดขึ้นในปี 1992   เมื่อ Seto และเพื่อนร่วมงานในญี่ปุ่น ศึกษาผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ (martial arts) แบบต่างๆ และวิธีการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ    "การปล่อย Qi" จากมือนั้นแรงมาก  จนสามารถตรวจจับได้ด้วยเครื่องวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กแบบง่ายๆ ที่ประกอบด้วยขดลวด 2 เส้นซึ่งมีลวด 80,000 รอบ    ตั้งแต่นั้นมา การศึกษาผู้ฝึกชี่กงจำนวนหนึ่ง  ได้ขยายการตรวจสอบเหล่านี้ไปยัง the sound, light, and thermal fields ที่ healers ปล่อยออกมา    สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ  the pulsation frequency จะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา    นอกจากนี้ นักวิจัยทางการแพทย์ที่กำลังพัฒนาการบำบัดด้วย pulsating magnetic field  พบว่าความถี่เดียวกันนี้มีประสิทธิภาพสำหรับ ‘ jump starting’ healing  ในเนื้อเยื่ออ่อนและแข็งที่หลากหลาย   แม้กระทั่งในผู้ป่วยที่ไม่หายขาดนานถึง 40 ปี    ความถี่เฉพาะ  กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นประสาท, กระดูก, ผิวหนัง, เส้นเลือดฝอย และเอ็น    แน่นอนว่า  ผู้ปฏิบัติงานเรกิและผู้ป่วยของพวกเขา  มีประสบการณ์ในแต่ละวันของกระบวนการบำบัดที่ "เริ่มต้นขึ้น"   และการแพทย์เชิงวิชาการกำลังเริ่มยอมรับการบำบัดนี้ว่ามีเหตุผลและเป็นประโยชน์  เนื่องจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่เหล่านี้

 

         เรามี bracketed portions ของสัญญาณที่สอดคล้องกับความถี่ที่ใช้ในเครื่องมือแพทย์  ที่กระตุ้นการรักษาของเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ    ความแตกต่างของแต่ละบุคคลใน energy projection and detection

         “ ฉันเคยสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของจักระ  และมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่ลึกลับ    แต่ประมาณ 1 ปีที่แล้ว  ฉันได้ไปพบนักบำบัดพลังงาน (an energy healer)  และเขาบอกว่า "จักระคอของคุณถูกปิดกั้น ฉันจะปลดบล็อคมัน”    ก่อนจะเจอเขา   ฉันมักจะมีปัญหากับการสื่อสารด้วยวาจา   ฉันอยากจะพูดอะไรบางอย่างอยู่บ่อยๆ และพบว่าตัวเองพูดไม่ได้   มันน่าหงุดหงิด    พอเจอเขา  ฉันก็ไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ในเรื่องนี้อีกเลย (และฉันไม่ได้บอกเขาว่าฉันกำลังมีปัญหาเหล่านี้)    แปลก   ฉันไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่ฉันสนใจมากพอที่จะต้องการอ่านเพิ่มเติม ขอบคุณ! "

ซิติเซน โมนิกา จากนิวยอร์ก 

 

คริสตัลและจักระ  - การใช้หินและคริสตัลเพื่อปรับสมดุลจักระของร่างกาย

         พลังงานคริสตัล  ถูกปล่อยออกมาเป็นแรงสั่นสะเทือน ซึ่งทำปฏิกิริยากับสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าภายในและรอบตัวเรา ในลักษณะที่อาจมองไม่เห็น    ตัวอย่างเช่น คริสตัลอาจปล่อย subtle vibrational colour frequencies, or sound vibrations that resonate outside of our conscious awareness to fine-tune our electromagnetic field    โดยพื้นฐานแล้ว  the energy frequency (or resonating life force) ของคริสตัล  เปรียบเสมือน a wave song ที่กระตุ้นความสัมพันธ์, ความทรงจำ หรืออารมณ์   

         "ความถี่ และรูปแบบเฉพาะของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า  ควบคุม DNA, RNA และการสังเคราะห์โปรตีน, เปลี่ยนรูปร่างและหน้าที่ของโปรตีน, และควบคุม gene regulation, การแบ่งเซลล์, cell differentiation, morphogenesis (กระบวนการที่เซลล์รวมตัวกันเป็นอวัยวะและเนื้อเยื่อ), การหลั่งฮอร์โมน, การเจริญเติบโต และการทำงานของเส้นประสาท” 111, ~ บรูซ ลิปตัน,  Biology of Belief 

 

         นักบำบัดด้วยคริสตัลกล่าวว่า  ความเจ็บป่วย, ความเครียด และสิ่งสกปรก  เปลี่ยนแปลงความถี่ตามธรรมชาติของร่างกาย   ทำให้บางส่วนของร่างกายไม่สามารถรับพลังงานที่จำเป็นได้ นักบำบัดยืนยันว่า  คริสตัลมีการสั่นสะเทือนที่บริสุทธิ์และสม่ำเสมอ   จึงสามารถแก้ไขความไม่สมดุลในร่างกายมนุษย์ได้    ความถี่ที่ก้อนหินปล่อยออกมานั้นสามารถปรับสมดุล, ทำความสะอาด และเติมพลังให้กับสนามพลังงานของมนุษย์ .

         มันเป็นเรื่องง่ายที่จะละทิ้งแนวคิดของวิทยาศาสตร์จักระ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่มีหลักความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล  หรือคิดแบบวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง    แต่อัจฉริยะที่แท้จริง  จะใช้เวลาเพื่อดูว่าแนวคิดเหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร   ไม่ใช่ว่าแนวคิดใด "ถูก" หรือ "ผิด" อย่างไร    เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์เติบโตขึ้น   ความเข้าใจและพลังของจักระของเราก็เติบโตขึ้นเช่นกัน

 

“ทุกสิ่งในชีวิตคือการสั่นสะเทือน” - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์